รับเด็กเข้ามหาวิทยาลัย วุ่นไม่หยุด (ไทยโพสต์)
ระบบกลางรับเด็กเข้ามหาวิทยาลัยวุ่นไม่หยุดโยนกันไปโยนกันมา ปัญหาเด็กคะแนนวิทย์ต่ำ "มณฑล" ชี้ไม่ใช่ปัญหาของหลักสูตรแต่เป็นเรื่องใช้ครูไม่ตรงสาขา เหนื่อยใจคณะดังรับตรง 100% ปิดทางเด็กต่างจังหวัด ขอ 30% ใช้แอดมิชชั่นกลาง ส่วน สพฐ.แจงหลักสูตรดีแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่วิธีคัดเด็กของ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เอง แนะวิทยาศาสตร์แยกสอบวิชาละ 100 ได้ ทำไมไม่ทำ
การมีท่าทีไม่ยอมรับกติการะบบรับเด็กเข้ามหาวิทยาลัยระบบกลาง (แอดมิชชั่น) โดยการทดสอบความถนัดความรู้ทั่วไป หรือ (GAT) หรือการทดสอบความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ (PAT) ของมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะจุฬาลงกรณ์มหาวิทยลัย ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยพี่ใหญ่ของทั้งระบบมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดหลายประการ ส่อเค้าจะเป็นปัญหาบานปลาย และสะเทือนต่อความมั่นคงของระบบรับเด็กส่วนกลางไม่มากก็น้อย
ประเด็นดังกล่าวนายมณฑล สงวนเสริมศรี ประธานคณะทำงานศึกษาแอดมิสชั่นฟอรั่ม ปีการศึกษา 2553 กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าองค์ประกอบและค่าน้ำหนักแอดมิชชั่น ปีการศึกษา 2553-2554 คงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สามารถเพิ่มค่าน้ำหนัก PAT 7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศ จาก 10% เป็น 30% ตามที่คณะอักษรศาสตร์จุฬาฯ เรียกร้องได้ เพราะค่าน้ำหนักดังกล่าวคิดว่าเหมาะสมสำหรับมหาวิทยาลัย
โดยรวมที่มีความยากง่ายต่างกัน ถ้าตั้งกติกากลางสูงเกินไป จะทำให้บางมหาวิทยาลัยไม่ได้เด็กเข้าไปเรียนเลย เพราะเกณฑ์สูงเกินไป ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยยอดนิยมทั่วประเทศแค่ 7 แห่ง จากมหาวิทยาลัยรัฐ 24 แห่ง ซึ่งจะกำหนดกติกาสูงอย่างไรก็ได้ เพื่อคัดเอาเด็กหัวกะทิ การที่มหาวิทยาลัยยอดนิยมเหล่านั้นไปรับตรงและกำหนดค่าน้ำหนักองค์ประกอบใหม่ ก็ทำถูกแล้ว และตนเห็นด้วยที่จะใช้ข้อสอบกลาง คือ GAT และ PAT เพื่อลดภาระเด็กไม่ต้องสอบหลายที่ แต่ก็อยากขอร้องมหาวิทยาลัยดังๆ ทั้งหลาย โดยเฉพาะบางคณะที่รับตรง 100% ว่าอยากขอพื้นที่สำหรับแอดมิชชั่นกลาง 30% อย่ารับตรงทั้ง 100% เลย เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กต่างจังหวัดได้มีโอกาสเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยยอดนิยมบ้าง
"กติกากลางที่ไม่สูงเกินไปนัก จะช่วยถัวเฉลี่ยคะแนนให้เด็กเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยดังๆ ได้ แต่ถ้ากำหนด PAT 7 30% เด็กต่างจังหวัดจะไม่มีโอกาสเข้าไปเรียนเลย เพราะเสียเปรียบเด็กที่เรียนในกรุงเทพฯ ทุกทาง มหาวิทยาลัยอาจมองว่าการกำหนด PAT 7 10% ทำให้ได้เด็กไม่เก่งภาษาและเกิดปัญหาเมื่อเข้าไปเรียนได้ การมองแบบนั้นก็มองได้ แต่เป็นการมองคนละมุมกับผมที่มองเรื่องให้โอกาสกับเด็กต่างจังหวัดเป็นสำคัญ ผมอยากขอพื้นที่สำหรับแอดมิชชั่นกลาง 30% เพื่อให้โอกาสกับเด็กต่างจังหวัด ส่วนอีก 70% มหาวิทยาลัยก็มีโอกาสคัดเลือกเด็กหัวกะทิผ่านระบบรับตรงอยู่แล้ว" นายมณฑลกล่าว
สำหรับข้อเรียกร้องของ ทวท.ที่อยากให้แยกสอบวิชาชีววิทยา เคมีและฟิสิกส์นั้น เบื้องต้นได้พูดคุยกับนางอุทุมพร จามรมาน ผอ.สทศ.แล้ว ได้รับคำตอบว่ายินดีจัดสอบให้ ถ้าทวท.ต้องการและมีจำนวนเด็กสอบมากพอ คาดว่าคงเริ่มจัดสอบ 3 วิชานั้นได้ในปีการศึกษา 2554 สำหรับปีการศึกษา 2553 คงทำไม่ทัน
ประธานแอดมิชชั่นฟอรั่มยืนยันว่า การจัดสอบ 3 วิชาดังกล่าว ไม่เกี่ยวกับองค์ประกอบแอดมิชชั่นกลาง โดย PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ ก็ยังคงสอบ 4 วิชารวมกันเหมือนเดิม ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่าเด็กที่เข้าไปเรียนกลุ่มวิทยาศาสตร์คุณภาพลดลงเมื่อเทียบกับอดีตนั้น คิดว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตนวิเคราะห์หลักสูตรแล้วดีมาก เด็กจะเรียนกว้างและรู้เยอะมากกว่ารุ่นตนด้วยซ้ำ เพียงแต่ปัญหาคือ โรงเรียนไม่สามารถหาครูที่จบตรงสาขามาสอนได้หรือไม ครูที่จบฟิสิกส์ เคม ชีววิทยา มีเพียงพอไหม ศธ.คงต้องวิเคราะห์ปัญหาครูจบตรงสาขา และต้องหาทางแก้ไขในระยะยาว ที่สำคัญน่าสงสัยว่าบางมหาวิทยาลัยเคยย้อนกลับไปดูหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานบ้างหรือไม่ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง และตนเองได้ปรับเปลี่ยนหลักสูตรการเรียนการสอนในชั้นปีที่ 1 เพื่อให้สอดคล้องกับ ม.ปลายบ้างหรือไม่ ทั้งที่หลักสูตร ม.ปลายปัจจุบันเปลี่ยนไปมากแล้ว
ทั้งนี้ ในวันที่ 13 มีนาคม คณะทำงานศึกษาแอดมิชชั่นฟอรั่มจะหารือเรื่ององค์ประกอบแอดมิชชั่น ปีการศึกษา 2554 โดยจะนำข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรีมาพิจารณา โดยเฉพาะประเด็น GPAX ที่มองว่า โรงเรียนมีมาตรฐานต่างกันในการให้เกรด มาหารือกันว่าในปีการศึกษา 2554 ไม่ควรให้ค่าน้ำหนัก GPAX ดีหรือไม่ แต่กำหนดให้เป็นเกณฑ์เงื่อนไขขั้นต่ำในการใช้คัดเลือกแอดมิชชั่นแทน เช่น กำหนดว่าเด็กต้องได้ GPAX 3.00-3.50 เพื่อเด็กไม่ทิ้งห้องเรียน เป็นต้น นอกจากนี้จะพิจารณาถึงประเด็นสัดส่วนรับตรงต่อแอดมิชชั่นกลาง ปีการศึกษา 2553 ที่ได้ขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ส่งข้อมูลเข้ามา ซึ่งขณะนี้ขาดอยู่แค่ 4 แห่ง
ด้าน นายสุชาต วงศ์สุวรรณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนากระบวนการเรียนรู้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์นั้น โดยรวมเด็กทุกคนต้องเรียนเนื้อหาวิทยาศาสตร์ที่เป็นวิชาพื้นฐานและทักษะจำเป็นต่อชีวิตทุกคน เพื่อใช้สำหรับการสอบโอเน็ต แต่สำหรับเด็กสายวิทย์นั้นจะเรียนเพิ่มเติมในส่วนที่เป็นวิชาเลือกเสรี คือ วิชาฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา
โดย โรงเรียนกำหนดชัดเจนว่าจะต้องเรียนกี่รายวิชา และยังมีหนังสือเรียนแยกตามรายวิชาต่างหากด้วย และตนได้เคยวิเคราะห์แล้วว่าหลักสูตรที่ใช้อยู่ก็ไม่ต่างจากสมัยที่แยกสอน 3 วิชา ดังนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่หลักสูตร แต่อยู่ที่เครื่องมือคัดเด็กมากกว่าที่ทำให้ไม่ได้เด็กตามที่ มหาวิทยาลัยต้องการ ทปอ.จึงควรหารือร่วมกับ สกอ.แล้วปรับเครื่องมือใหม่ แทนที่จะรวมฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา 3 วิชาเป็นเอเน็ตวิทยาศาสตร์ 100 คะแนน ทำไมไม่แยกสอบอย่างละ 100 คะแนน หรือเมื่อเปลี่ยนมาใช้ข้อสอบ PAT 2 การวัดความถนัดทางวิทยาศาสตร์ ทำไมไม่แยกสอบ 4 วิชา เป็น PAT วิทยาศาสตร์ 1 ถึง PAT วิทยาศาสตร์ 4 แทนที่จะรวมทั้ง 4 วิชา อยู่ใน PAT 2 ดังนั้น ทปอ. และ สกอ.ควรหารือร่วมกันเพื่อปรับเครื่องมือ และหากยังเห็นว่า สพฐ.ควรเพิ่มเติมเนื้อหาในส่วนใด เราก็ยินดี
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ