เกมพันธมิตร...ก่อนลอบสังหาร"สนธิ"
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเด็นหนึ่งที่ส่งผลถึง "สนธิ ลิ้มทองกุล" ตกเป็นเป้าสังหาร คือ การเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลนอมินี ความรุนแรงที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน จนกลายเป็นความครึกโครมเมื่อเวลาคล้อยหลังไปนานนับขวบปี แน่หรือว่า มีเพียงประเด็นนี้เพียงเรื่องเดียว
"คม ชัด ลึก" ไล่ลำดับเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลืองตั้งแต่บนถนนราชดำเนินจนมาสิ้นสุดที่ทำเนียบรัฐบาลและสนามบินสุวรรณภูมิ จุดจบของรัฐบาลสุดท้ายภายใต้การบงการของนายใหญ่
จุดเริ่มต้นจริงๆ เกิดจากการที่พันธมิตรไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มีการระดมความคิดจัดการประชุมเสวนาตามสถานที่ต่างๆ มาตั้งแต่ต้นปี 2551 สุดท้ายกลายเป็นการรวมตัวชุมนุมบนถนนราชดำเนิน ก่อนจะเคลื่อนมาปักหลักอยู่ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์อยู่นานนับเดือน
ต่อมาการเคลื่อนไหวทางการเมืองเริ่มก้าวไปอีกขั้น โดยแกนนำพันธมิตรทั้ง 5 คน หนึ่งในนั้นคือ สนธิ ออกมาประกาศจุดยืนชัดเจนเกี่ยวกับเป้าประสงค์ของการชุมนุม คือ การเรียกร้องให้สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง
การปักหลักอยู่ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ไม่ส่งผลดีต่อพันธมิตรมากนัก รัฐบาลสมัครยังคงเดินหน้าบริหารบ้านเมืองที่กำลังคุกรุ่นขึ้นทุกขณะ และมีความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้ ดังนั้น 20 มิถุนายน 2551 แกนนำพันธมิตรจึงตัดสินใจใช้ยุทธวิธีเคลื่อนขบวนไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล โดยใช้แผนดาวกระจายให้แกนนำแต่ละคนนำกลุ่มผู้ชุมนุมทยอยไปตามถนนสายต่างๆ ก่อนจะมาบรรจบกันที่สะพานชมัยมรุเชฐ หน้าทำเนียบรัฐบาล
บ่ายโมงครึ่งขบวนผู้ชุมนุมในการควบคุมของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สามารถฝ่าการสกัดกั้นของตำรวจเข้ามายึดพื้นที่บริเวณแยกนางเลิ้งได้สำเร็จ พร้อมกับประกาศจะเคลื่อนขบวนเข้าไปยังทำเนียบรัฐบาล ฟากกลุ่มของสมศักดิ์ โกศัยสุข สามารถฝ่าด่านตำรวจที่แยกมิสกวัน มุ่งหน้าไปสมทบกับกลุ่มของ พล.ต.จำลอง และสามารถบุกเข้าไปยังทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จ
นั่นคือดาบแรกที่สนธิและพันธมิตรจัดการกับรัฐบาลสมัคร ฝ่ายตำรวจเอง แม้จะมีคำสั่งกำชับไม่ให้ใช้ความรุนแรง แต่ขณะเดียวกันก็มีความพยายามจะทดสอบกำลังหยั่งเชิง ด้วยการส่งกำลังเข้าไปปิดล้อมกดดัน เกิดการกระทบกระทั่งกันประปราย กระทั่งช่วงค่ำวันที่ 29 สิงหาคม ตำรวจใช้แก๊สน้ำตากับกลุ่มผู้ชุมนุม ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 19 คน
ใช่ว่าการกระทำของกลุ่มเสื้อเหลืองจะได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลอย่างแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ใช้สัญลักษณ์เสื้อสีแดงเป็นตัวแทนและเครื่องหมายของกลุ่ม มีการเกณฑ์คนมาต่อต้านการกระทำของกลุ่มเสื้อเหลืองบริเวณท้องสนามหลวง ก่อนจะยกมาเผชิญหน้ากันที่แยก จปร.เมื่อกลางดึกวันที่ 1 กันยายน 2551 จนเกิดการปะทะกับการ์ดพันธมิตร มีผู้ได้รับบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย
จากสถานการณ์ครั้งนั้น ดูเหมือนว่ากองทัพจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น มีการส่งกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 1 เข้ามาสนับสนุนในงานควบคุมฝูงชน เนื่องจากประเมินสถานการณ์แล้วเชื่อว่า นับจากนี้เป็นต้นไปจะมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และตำรวจเองก็ไม่สามารถจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้อยแถลงของนายทหารคนดังอย่าง เสธ.แดง "พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล" ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่แสดงตัวอย่างเด่นชัดที่จะยืนอยู่เคียงข้างกลุ่มคนเสื้อแดง ด้วยการฝึกนักรบพระเจ้าตากอาสาปราบกลุ่มพันธมิตร
ตลอดจนการให้ความเห็นทุกครั้งคราเมื่อมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นกับกลุ่มพันธมิตร ทั้งการลอบวางระเบิด หรือแม้แต่การยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ปักหลักอยู่ในทำเนียบรัฐบาล แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลัง แต่กลุ่มพันธมิตรเองก็มองด้วยสายตาเคลือบแคลง โดยเฉพาะเมื่อได้ยินประโยคเด็ดแห่งยุค
"คนที่จองกฐินงานนี้ต้องงัดอีกหลากหลายวิธีมาจัดการแน่ ต่อไปก็คงเจอระเบิดเอ็ม 79 หรืออาร์พีจีที่ใช้ปืนยิงสู่เป้าหมาย ระยะในการยิงได้ไกลกว่า 700 เมตร หรืออาจจะมีการเผารถที่จอดไว้แถวนั้น เพื่อสร้างความหวาดกลัว ไม่ให้ผู้ชุมนุมมาร่วมชุมนุม"
นอกจากกลุ่มเสื้อแดงจะได้แรงหนุนจาก เสธ.แดงแล้ว ยังมีอดีตนายตำรวจอีกมากมายที่เข้าร่วมด้วย หัวเรี่ยวหัวแรงคือ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ที่ออกมาแถลงข่าวทั้งน้ำตาว่า จะอาสายึดทำเนียบรัฐบาลกลับคืนมา
"ตอนนี้ผมยอมตาย เมื่อเช้านี้ผมเขียนพินัยกรรมให้ลูก ให้ลูกน้องไปแล้ว ทรัพย์สินก็ยกให้หมดแล้ว ไม่ห่วงอะไรแล้ว จากนี้จะทำเพื่อประเทศชาติเท่านั้น" แต่ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แกนนำอย่างสนธิก็ยังคงเดินหน้ากดดันรัฐบาลอยู่ต่อไป แม้ว่าจะเปลี่ยนมือจากสมัคร สุนทรเวช มาเป็นสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ตามที
วันที่ต้องจดจำอีกวันในบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองข้างถนน คือ วันที่ 7 ตุลาคม 2551 เมื่อกลุ่มพันธมิตรขยายพื้นที่การชุมนุมไปยังหน้าอาคารรัฐสภา เพื่อปิดล้อมไม่ให้นายกฯ สมชายเข้าไปแถลงนโยบายได้ ส่งผลให้มีการใช้กำลังตำรวจเข้าสลายการชุมนุม เกิดความรุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก แต่กระนั้นรัฐบาลสมชายก็ยังทนอยู่ในตำแหน่งต่อไป
หมากตาสุดท้ายของสนธิและพันธมิตรจึงไปจบลงที่การปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างนี้กระบวนการทางศาลต่อการพิจารณาคดีซื้อเสียงก็นำมาสู่การยุบพรรคพลังประชาชน ยุติบทบาททางการเมืองของรัฐบาลสมชายลงในขณะนั้น
ด้วยเหตุนี้สนธิจึงถูกมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการล้มล้างรัฐบาลนอมินีทักษิณ แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนผ่านและเปลี่ยนมือจากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อเหลืองมาเป็นเสื้อแดง บทบาทของสนธิน้อยลงจนเกือบเงียบหายไปจากสังคม
กระทั่งล่าสุด เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงออกมาก่อเหตุจลาจล 12 เมษายน 2552 แกนนำพันธมิตรทั้ง 5 คน ได้ออกมาเรียกร้องให้นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงความกล้าหาญและภาวะผู้นำ ด้วยการปรับเปลี่ยนรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ, รมว.กลาโหม, ผบ.เหล่าทัพ และ ผบ.ตร.ทันที
อีก 5 วันให้หลังสนธิก็ถูกลอบสังหาร !?!
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดวันนี้ (19 เมษายน) รศ.น.พ.อดิศร ภัทราดูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พร้อมด้วยทีมแพทย์ แถลงความคืบหน้าอาการบาดเจ็บ จากการถูกลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ว่า ขณะนี้นายสนธิ และนายวายุภักดิ์ มังคละสินธุ์ ผู้ติดตาม สามารถย้ายออกจากห้องไอซียู ได้แล้ว และมีอาการดีขึ้นตามลำดับสามารถรับประทานอาหาร ลุกขึ้นนั่งและเดินได้ ตามปกติ ไม่มีโรคแทรกซ้อน ส่วนอาการทางสมองนั้น ยังเป็นปกติ พร้อมยืนยันว่า นายสนธิ สามารถเดินทางกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ ภายใน 1 สัปดาห์
ส่วนอาการของ นายอดุลย์ แดงประดับ คนขับรถนายสนธินั้น ทีมแพทย์กล่าวว่า แม้ผลการผ่าตัดเป็นครั้งที่ 3 จะเป็นที่น่าพอใจ แต่อาการโดยรวมยังถือว่าน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะอาการสมองบวม ที่ต้องวดูแลอย่างใกล้ชิดและยังไม่สามารถย้ายออกจากห้องไอซียูได้
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
