x close

สัมภาษณ์พิเศษ 2 หนุ่ม สตาร์บัคส์ และ หลังเลนส์

สตาร์บัคส์ สตาร์บัคส์

สตาร์บัคส์ สตาร์บัคส์



สัมภาษณ์พิเศษ 2 หนุ่มสุดฮอต "สตาร์บัคส์"  และ  "หลังเลนส์"  (สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล และ ลักษ์ฟิล์ม)

          จากคนธรรมดาที่กลายมาเป็น "เหยื่อฮาอันโอชะ" ของ "สาระแนห้าวเป้ง" มาทำความรู้จักกับ2ครีเอทีฟหน้าใหม่จากรายการแกล้งดาราสุดฮิตที่ชีวิต 24 ชั่วโมง ตลอด120 วัน ในช่วงทดลองงานถูกบันทึกและกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของความสนุก สุข ระทึก เศร้า ซึ้ง กวน มันส์ ฮาใน "สาระแนห้าวเป้ง"

  ทักทายกันหน่อย

          สตาร์บัคส์ : สวัดดีครับ ผมชื่อ พงศ์พิชญ์  ปรีชาบริสุทธิ์กุล ชื่อเล่น สตาร์บัคส์ ครับ เรียนจบคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ เอกประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร (ปี50)ครับ

          หลังเลนส์ : สวัดดีครับ ผมชื่อ เสกสรร  รัตนพรพิศ ชื่อเล่น หลังเลนส์ ครับ เรียนจบคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ เอกภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (ปี51) ครับ

  มาร่วมงานสาระแนห้าวเป้งได้อย่างไร

          สตาร์บัคส์ : มาสมัครเป็นครีเอทีฟก่อนครับ คือก่อนที่จะมาสมัครงานที่นี่ผมก็เรียนจบมหาลัยมา แล้วก็รับจ็อบฟรีแลนซ์อยู่ 1 ปี วันหนึ่งก็เจอรุ่นน้องคนหนึ่ง เขาชวนผมมาสมัครงานที่สาระแน เขาบอกว่าเปิดรับสมัครอยู่ แล้วตอนนั้นผมก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย เพราะพรุ่งนี้ต้องไปสมัครแล้ว วันรุ่งขึ้นก็ไปสมัครงานกันไม่มีพอร์ตด้วยนะ ไม่มีอะไรมาเลย ผมบอกกับรุ่นน้องว่างั้นถือว่ามาเที่ยวสนุกๆละกัน ก็ไปสมัครทิ้งไว้ แล้วพี่ที่สาระแนเขาก็ทิ้งช่วงมานานมากกว่าจะติดต่อกลับมา ตอนนั้นผมถอดใจเรียบร้อยแล้ว คิดว่าคงไม่ได้มาทำแน่ๆเลย สักพักพี่เขาก็โทรมาให้ไปมอบตัว ก็เลยไป แล้วก็ได้ ผมยังงงอยู่เลย ได้ๆ ไงว่ะ เพราะว่าทุกอย่างมันบังเอิญหมดเลย ไปก็บังเอิญ เจอรุ่นน้องก็บังเอิญมาก แล้วมาสมัครงานก็บังเอิญ คือบังเอิญทุกอย่าง แต่ได้

          หลังเลนส์ : ผมก็คล้ายๆ พี่สตาร์บัคส์ มีรุ่นน้องมาชวนไปสมัครเป็นครีเอทีฟ ก็ไม่คิดว่าจะได้เหมือนกัน ผมเคยถามพี่ๆที่รู้จัก เขาบอกว่าสมัครกัน 700 คน ผมก็คิดว่าคงไม่ได้อยู่แล้วล่ะ ก็ไม่ได้คิดอะไร จนวันหนึ่งมีพี่ทีมงานโทรมาบอกให้มารายงานตัว ก็ดีใจพอรู้ว่าตัวเองได้เข้ามาทำงานครับ

สตาร์บัคส์ - หลังเลนส์



  เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานสาระแนแล้ว เล่าหน้าที่ๆ ต้องรับผิดชอบให้ฟังว่าต้องทำอะไรบ้าง

          สตาร์บัคส์ : อย่างแรกเลยก็แคนดิดดาราครับ ส่วนปลีกย่อยก็คือ เราต้องรู้ข้อมูลดาราก่อนว่าเขาชอบอะไรบ้าง หรือกลัวอะไร ต้องทราบทุกอย่างที่เป็นพฤติกรรมเขาครับ พอรู้เสร็จก็เอาเข้าที่ประชุมว่าจะแกล้งเขาเรื่องอะไรดี เราก็ไปพิมพ์สคริปต์ว่าจะทำอะไรบ้างกับดาราคนที่เราเล็งเขาไว้แล้ว

          หลังเลนส์ : แต่พวกเรา2คนจะยังไม่ใช่คนที่คิดงานทั้งหมด  คือเขามีพี่ๆที่เป็นแกนหลักอยู่แล้วพี่ที่เขาโตกว่า เราก็เป็นกำลังเสริม แล้วก็เรียนรู้จากเขาอีกที ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นเรียนรู้อยู่ด้วย แล้วบางที่การคิดสคริปต์ หรือการที่จะไปแกล้งเขาต่อ มันก็ต้องมีข้อมูล ก็ต้องหาวิธีที่จะให้ได้ข้อมูลนั้นมา บางทีต้องปลอมตัวบ้าง หรือว่าใช้นกต่อบ้าง เพื่อให้ได้ข้อมูลมา  

           สตาร์บัคส์ : พอได้ข้อมูลเสร็จเราก็ต้องวางแผนที่จะแกล้งเขาอย่างดีเลย  ก็ต้องเผื่อเวลาล่วงหน้าไว้เยอะๆ เพราะมันจะมีพวกเหตุสุดวิสัยเกือบทุกเทป ที่มันควบคุมไม่ได้ อย่างคนแก่ สัตว์ หรือนักแสดง เช่นนี้แหละ ก็ต้องแก้ปัญหาให้ได้ ตอนแรกพวกรุ่นพี่จะเป็นคนแก้ซะส่วนใหญ่ ผมก็ตามเขาไปเพราะผมยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร

  บรรยากาศการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง

          หลังเลนส์ : คือผมก็ไม่เคยไปอยู่บริษัทอื่น แต่ผมก็คิดว่าที่นี่ไม่น่าเหมือนบริษัทไหนครับ ทั้งด้านการทำงาน และระบบงาน 

          สตาร์บัคส์ : ผมก็มาสมัครที่นี่เป็นที่แรกเหมือนกัน ก็รู้สึกเหมือนยังเรียนอยู่เลย เพราะมันมีส่วนที่มันสนุก แล้วก็มีส่วนที่มันเหมือนพี่เหมือนน้อง บรรยากาศการทำงานเลยไม่เครียด จะเครียดก็ช่วงที่แบบงงอ่ะครับ ทำตัวไม่ถูกก็งง  จะนิ่ง หรือบางทีก็เต้นเลย เป็นการ relax ไป

  ทีมงานสาระแนให้โจทย์อะไรมาบ้าง

          สตาร์บัคส์ : พอเข้ามาวันแรก พี่เปิ้ลกับพี่หอยเขาก็จะบอกเราเลยว่าการทำงานของเรามีอะไรบ้าง  ต้องแคนดิดดาราทั้งหมด 4 คน ก็มีพี่โก๊ะตี๋ พี่แอ๊ด พี่หม่ำ แล้วก็เบบี้ว๊อกซ์  ถ้าแคนดิดสำเร็จทั้งหมด ถือว่าผ่านโปร(ทดลองงาน) ได้ทำงานต่อ แต่พอแคนดิด 4 คนเสร็จปุ๊บ เหมือนกับมีปัญหาติดอยู่นิดหน่อยอ่ะครับ

  เล่าความรู้สึกที่ได้แคนดิดดาราทั้ง 4 คนนี้ให้ฟังหน่อย

          สตาร์บัคส์ : ถ้ากดดันที่สุดผมว่าพี่แอ๊ดครับ เพราะผมไม่มั่นใจตั้งแต่ปลอมตัวแล้ว ผมคิดว่าถ้าเป็นโจรเป็นสายลับอะไรเขาคงไม่ปลอมตัวถึงขนาดนี้แน่นอน เพราะเวลาจับได้แล้วมันหาทางชิ่งยาก แล้วเครื่องมือเครื่องไม้ที่ใช้ในการปลอมตัวนี่เต็มไปหมดเลย  แล้วก็โดนจับได้จริงๆก็เลยเกิดเรื่องระทึกขวัญนิดหน่อย

          หลังเลนส์ : แคนดิดพี่แอ๊ดนี่ก็เจอเสือด้วย แล้วด้วยความที่พี่แอ๊ดเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ความรู้สึกของพวกเราก็ไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จรึเปล่า คืออย่างเราเป็นใครก็ไม่รู้ แล้ววันหนึ่งต้องมาแกล้งพี่แอ๊ด ก็เลยไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จมั้ย

          สตาร์บัคส์ : มันจะเกร็งนิดๆ คือถ้าคิดเรื่องเกร็งมันก็จะเกร็งต่อไป

          หลังเลนส์ : ส่วนอย่างพี่หม่ำและพี่โก๊ะตี๋จะออกในแนวมันส์มากกว่า 

          สตาร์บัคส์ : อย่างพี่หม่ำนี่จะมีช่วงลำบากใจแล้วก็ซึมด้วย ตอนที่ไม่ไปตามนัดเขาเพราะไปไม่ทัน แล้วพอไปสัมภาษณ์พี่หม่ำก็มีเหตุอีก ไปแคนดิดจริงๆก็มีเหตุเกิดขึ้นอีก  หลังจากแคนดิดเสร็จมีอีกเหตุหนึ่งอีก นี่ยังไม่รวมพี่แอ๊ดและคนที่เหลือนะ แค่พี่หม่ำคนเดียวก็มีเหตุถึง 4 อย่างแล้วละครับ



สาระแนห้าวเป้ง



  ตอนพี่หม่ำโกรธ พวกเรารู้สึกอย่างไรบ้าง

          สตาร์บัคส์ : คือคิดว่าเขาแกล้งครับ คิดว่าทีเล่นทีจริง แล้วพี่หม่ำแกสนิทกับพี่เปิ้ลด้วย หลังจากนั้นอีกใจหนึ่งก็คิดว่าจริง แล้วยิ่งพอแคนดิดเสร็จใจก็คิดเอาแล้ว เป็นเรื่องแล้ว ก็วนเวียนอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา

          หลังเลนส์ : พอพี่หม่ำลงจากแท๊กซี่ เดินเข้าไปเห็นพี่หม่ำยืนตัวสั่นอยู่แล้วแบบ คือไม่รู้ว่าจะทำอะไรยังไงด้วยได้แต่ขอโทษเขาอย่างเดียว เราก็สำนึกผิดด้วย คิดว่าพี่หม่ำต้องโกรธเราแน่ๆเลย คือตอนเตรียมตัวที่จะแคนดิด เราก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เราเตรียมกันจะทำให้พี่หม่ำจะโกรธขนาดนี้ คือเห็นภาพแล้วพี่หม่ำคงกลัวจริงๆ ครับ

  ใครเป็นคนถือน้ำเอาเข้าไปใปให้พี่หม่ำ

          หลังเลนส์ : ผมนี่แหละ คือพี่หม่ำลงมาเขาก็ด่าๆๆ อย่างเดียวเลย  คือด้วยความที่เราแกล้งเขาแล้ว เราก็ควรจะขอโทษเอาน้ำไปเสิร์ฟไปบริการ  แต่ตอนนั้นพี่หม่ำโกรธมาก เขาก็เลยปัดน้ำใส่หน้า ผมก็ซึมเลย

          สตาร์บัคส์ : ตอนนั้นผมตื่นเต้นกับฉากระเบิดอยู่ คืออยากเห็นมากเลยว่าพี่หม่ำตอนนั้นหน้าตาจะเป็นยังไง  แต่พอลงรถมาปุ๊บ ผมกับหลังเลนส์ก็ไปตรงหน้าประตูที่เขาลงมาเลยครับ ก็คุกเข่าไหว้ขอโทษก่อนเลย  แล้วตอนนั้นเท้าพี่หม่ำก็อยู่ห่างจากหน้าผมไม่ไกลเลย ผมก็คิดว่าเตรียมตัวเจ็บแล้วแหละ  แล้วพี่เปิ้ลพี่หอยก็เข้ามาเคลียร์กัน ตอนนั้นผมก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันว่าจะทำยังไงดี ไม่รู้จะพูดยังไงดี เพราะผมขอโทษได้อย่างเดียว คิดอะไรไม่ออก เพราะมันยังชาๆอยู่

  เล่าถึงการแคนดิด BABY V.O.X Re.V ให้ฟังหน่อย

          สตาร์บัคส์ : สำหรับผมนี่เพลินสุดแล้วครับ อย่างแรกเลยคือผมไม่ค่อยเห็นหน้าเขาด้วย ก็เลยไม่ค่อยเกร็งเท่าไร ก็เหมือนเห็นคนธรรมดา  ก็พูดตามสคริปต์เรื่อยๆเพลินๆ ก็สลับกันถาม-ตอบ คือจะมีลูกกุ๊กกิ๊กกันซะเยอะครับ  ผมโทรไปบอกเพื่อนมีแต่คนร้อง โอ้โห คือไม่มีใครบอกว่า อ๋อเหรอ  เลยซักคน 

          หลังเลนส์ : มันไม่ถือว่าเป็นแคนดิดครับ เรียกว่าเป็นกำไรชีวิตดีกว่า

สาระแนห้าวเป้ง



  แล้วแคนดิดโก๊ะตี๋ล่ะ เป็นอย่างไรกันบ้าง

          สตาร์บัคส์ : ของโก๊ะตี๋จะมีอยู่ช็อตนึงที่เราต้องไปหาข้อมูลเด็กแว๊น ปลอมตัวเป็นนักศึกษา แล้วก็มีกล้องรูเข็ม เหมือนสายลับเลย   แล้วก็ไปหลอกถามข้อมูลเด็กแว๊นแถวสุขาภิบาล 3  แล้วก็ตรงพุทธมณฑล น่ากลัวมากเลย พอลงรถเสร็จปุ๊บ  ผมก็ตั้งหลักไกลๆเลย ให้เหมือนว่าเดินเข้ามาหาเขา พอเดินมาถึงปุ๊บก็สวัดดีเขาก่อนเลย บอกพี่ครับจะมาหาข้อมูลเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ ว่าส่วนใหญ่เขาไปแข่งกันที่ไหน แล้วไวเล็ต(ไมค์อัดเสียงไร้สาย)นี่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงเลย กล้องนี่อยู่ตรงกระดุมเสื้อ ขานี่ร้อนเลย ก็ถามว่า พี่ครับ มอเตอร์ไซค์ส่วนใหญ่เขาใช้รุ่นอะไรกันบ้างครับ ถามไปถามมา เขาก็ถามกลับมาว่าเป็นสายรึเปล่า ผมก็บอกว่าไม่ได้เป็นครับ ก็บอกไปว่า ตอนนี้ผมกำลังทำหนังสั้นอยู่ ก็เลยมาหาข้อมูล ก็แถไปเรื่อยๆ แล้วในที่สุดเขาก็คุยกันแบบเป็นกันเอง เขาก็บอกเลยว่าตรงไหนเขาจะแข่งกัน เราก็ไปส่วนตรงนั้นต่อ ก็รู้ว่าเด็กแว๊นบางคนนี้ไม่ได้ก้าวร้าวหรือว่าน่ากลัวอย่างที่เราคิดเลยครับ บางคนนี่นิสัยดีด้วย มีกติกา มีสังคมของเขาด้วย ก็ทำให้เห็นโลกกว้างขึ้น

          หลังเลนส์ : อย่างพี่โก๊ะตี๋ที่ได้รับข้อมูลมาคือเป็นคนที่น่ารักมากครับ 

          สตาร์บัคส์ : พี่โก๊ะตี๋ ก็จะสนุกมากกว่า ไม่ค่อยจะเครียดเท่าไร  อาจเป็นเพราะว่าผมไม่ได้รับมอบหมายงานเยอะมากเท่าไร จะเป็นแบบเดี๋ยวช่วยดูตรงนั้นตรงนี้มากกว่า เช่นปล่อยคิวรถมอเตอร์ไซค์

  ถ้าต้องอยู่ในสถานการณ์แบบโก๊ะตี๋บ้าง เราจะรู้สึกยังไง

          สตาร์บัคส์ : ถ้าผมเป็นโก๊ะตี๋  คงไม่น่าเชื่อว่าจะต้องมาเจอเหตุการณ์อะไรที่มันติดๆกัน แล้วเป็นเหตุการณ์ที่เขากลัวทั้งหมด  ได้เจอเหตุการณ์ที่มันติดๆกัน อย่างเขากลัวผี เขาก็จะได้เจอผี เขากลัวมอเตอร์ไซค์ เขาก็จะได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปเจอผี  อย่างโก๊ะตี๋จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่ผมต้องนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์คันข้างๆ แล้วก็ต้องถ่ายวีดีโอเขาไปด้วย แล้วมีอยู่ช็อตนึงที่ได้คุยกับเขา เขาก็จะพูดถึงพ่อแม่เขาตลอดเลย เหมือนเขาเป็นห่วงพ่อแม่ รักครอบครัว ประมาณนี้ครับ

          หลังเลนส์ : เป็นผม ผมกลัวผมก็คงพูดอะไรไม่ออกครับ ก็ได้แต่ร้องอย่างเดียวแหละ

  พูดถึง3สาระแนอย่าง วิลลี่ เปิ้ล หอย ที่เราทั้งคู่ได้มีโอกาสร่วมงานกัน เป็นอย่างไรบ้าง

          สตาร์บัคส์ : พี่ทั้ง 3 ก็เป็นกันเองดี คือไม่ต้องเรียกว่า หัวหน้าครับ ลูกพี่ครับ คือเรียกพี่ได้เลย เหมือนเป็นพี่น้องกัน ทำให้ไม่รู้สึกเกร็ง  ก็เป็นกันเองดีครับ

          หลังเลนส์ : บางทีก็รู้สึกเกรงใจเหมือนกันครับ บางทีตอนทำงานเราก็สร้างความเดือดร้อน พี่เขาก็รับผิดชอบ

สาระแนห้าวเป้ง

สาระแนห้าวเป้ง



  โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าพวกเราห้าวเป้งกันมั้ย

          หลังเลนส์ : คือทุกคนมันมีความห้าวเป้งอยู่แล้ว เพียงแต่ใครจะระบายมันออกมาน้อยหรือมากเท่านั้น  แต่ในหนังเรื่องนี้มันจำเป็นจะต้องใช้ความห้าวเป้งไปก่อเรื่องก่อราวครับ

          สตาร์บัคส์ : แต่ห้าวเป้งสำหรับผมมันหมายถึง กล้าๆ กลัวๆ แต่ก็สนุกดี แล้วก็คิดวนไปวนมา เพราะว่าคำนี้มันเกิดมาจาก 4 เดือนนี้ครับ เหมือนอารมณ์นี้ที่ไปเจอมาภายใน 4 เดือน มันเลยกลายมาเป็นห้าวเป้ง

  สุดท้ายคนดูจะได้เห็นอะไรในสาระแนห้าวเป้ง

          สตาร์บัคส์ : หลักๆเลยก็จะได้เห็นผมทำงานไปแกล้งคนอื่น แล้วสุดท้ายก็โดนทีมงานแกล้งผมเอง เหมือนโดนหักหลังนิดๆ แต่ที่จริงแม่งโคตรเจ็บเลย 

          หลังเลนส์ : ก็จะได้เห็นรสชาติของรายการสาระแน คนดูอาจจะเคยเห็นแต่ในทีวี แต่คราวนี้มันไม่ใช่  คนดูจะได้เห็นความสนุกความมันส์ของทีมงานที่แบบ กว่าจะผลิตรายการออกมาให้คนดูได้ดูกัน

           สตาร์บัคส์ : คือคนที่ไม่ได้มาสมัครหรือทำงานที่นี้ก็คงไม่ได้เจออะไรแบบนี้เลย อย่างเช่นเจอเสือ เจอฉากรถชน ได้ไปคลุกคลีกับพวกเด็กแว๊น ได้คุยตัวต่อตัวต่อหน้าพี่แอ๊ด ได้ไปทานข้าวกับพี่หม่ำ คือชีวิตปกติมันไม่มีใครได้เจอแบบนี้แน่นอน ก็ประมาณนี้ครับ



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สัมภาษณ์พิเศษ 2 หนุ่ม สตาร์บัคส์ และ หลังเลนส์ อัปเดตล่าสุด 14 พฤษภาคม 2552 เวลา 08:04:57 50,538 อ่าน
TOP