ศาลยกฟ้อง อภิสิทธิ์ - สุเทพ คดีหมิ่น หมอมิ้ง

อภิสิทธิ์-สุเทพยิ้ม ศาลยกฟ้อง คดีหมิ่น หมอมิ้ง (ไทยรัฐ)

          อภิสิทธิ์-สุเทพยิ้ม ศาลยกฟ้องคดีหมิ่นหมอมิ้ง จากกรณีร่วมกันแถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าพรรคไทยรักไทย จ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อปี 49 ศาลระบุเป็นการพูดโดยได้รับฟังข้อเท็จจริง เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (11 มิถุนายน) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมาที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ เพื่อฟังคำพิพากษาในคดีที่ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาท จากกรณีเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2549 นายสุเทพและนายองอาจได้ร่วมกันแถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์ ระบุพรรคไทยรักไทยทุจริตการเลือกตั้ง โดยจ้างพรรคเล็กลงสมัคร ทำให้พรรคไทยรักไทยได้รับความเสียหาย

          โดยนายกรัฐมนตรีมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีอาการเคร่งเครียดแต่อย่างใด ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 1 กองร้อยอย่างเข้มงวด

          ทั้งนี้คำพิพากษามีใจความว่า โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 3 แถลงข่าวในที่ทำการพรรค ดังนั้นจำเลยที่ 1,2,4 ต้องร่วมกันรับผิดฐานหมิ่นประมาทไปด้วย อีกทั้งการที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 305/2550 ที่สั่งยุบพรรคไทยรักไทยนั้น ก็ไม่มีข้อความระบุถึงตัวโจทก์ ขณะที่จำเลยที่3 ต่อสู้คดีว่าไม่มีเจตนาใส่ความโจทก์ และจำเลยที่1,2 ,4 ต่อสู้คดีว่า ไม่ได้มีการกระทำผิดตามฟ้องของโจทก์ขอให้ยกฟ้อง ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การแถลงข่าวของจำเลยที่ 3 มิได้แต่งเรื่องราวอันเป็นเท็จ แต่ได้รับฟังมาจากนายชวการ โตสวัสดิ์ หนึ่งในผู้เดินทางมาพบผู้บริหารพรรคไทยรักไทย ว่า ผู้บริหารพรรคไทยรักไทยและโจทก์ร่วมกันส่งคนไปเลือกตั้ง และให้เงินกับแก้ไขข้อมูลในคณะกรรมการการเลือกตั้ง ใช้อิทธิพลครอบงำบุคคลต่างๆ โดบนายชวการอ้างว่าได้ยินคำว่า "หมอมิ้ง" และ "ให้เงินจ้างพรรคเล็กเข้าเลือกตั้ง" กับคำว่า "เป็นคนสายตรงกับหมอมิ้ง" พร้อมกับนายชวการยอมให้จำเลยที่ 3 อัดภาพวีซีดีการให้ข้อมูลดังกล่าวไว้ด้วย

          จากนั้นจำเลยที่ 3 ยังได้หลักฐานอื่นที่เกี่ยวกับหัวหน้าพรรคเล็กไปพบผู้บริหารพรรคไทยรักไทยและเอกสารอื่นอีก 33 ใบ ด้วยเหตุดังกล่าว จำเลยที่ 3 จึงได้แถลงข่าวดังกล่าว แม้คำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะไม่ได้ระบุถึงตัวโจทก์ แต่โจทก์ก็ไม่ได้นำสืบพิสูจน์ในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 3 จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอาญามาตรา 330 ประกอบกับจำเลยที่ 3 เป็นประชาชนคนหนึ่งและเป็น ส.ส. ที่ได้รับรองคุ้มครองสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 65 กับรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 69 ที่บัญญัติสอดคล้องกันว่า บุคคลมีสิทธิต่อต้านโดยสันติต่อการกระทำใดๆ อันไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จำเลยที่ 3 จึงมีความชอบธรรม ในการเปิดเผยการทุจริต และยังได้นำความไปร้องเรียนคณะกรรมการการเลือกตั้งกับไปให้ถ้อยคำในวันที่ 23 มีนาคม 2549

          ต่อมาอัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องต่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคไทยรักไทย การแถลงข่าวจึงเป็นการแจ้งข้อเท็จริงอันมีเหตุควรเชื่อได้ว่า มีการกระทำทุจริตชั่วร้ายให้เกิดแก่ชาติ ให้ประชาชนช่วยกันจับตามอง การกระทำใดๆ ให้ได้มาซึ่งการปกครองที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย พรรคไทยรักไทยได้เสนอตัวให้ประชาชนเชื่อว่าคนในพรรคเป็นคนดี ให้ประชาชนไว้ใจได้ แต่พฤติการณ์ของโจทก์ ทำให้เห็นว่าพรรคของโจทก์ไม่สุจริต และไม่ใช่พรรคที่ประชาชนไว้ใจได้ การกระทำของจำเลยที่3 จึงเป็นการกระทำด้วยความชอบธรรม ซึ่งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้ยุบพรรคไทยรักไทย ก็สั่งยุบพรรคตรงตามที่จำเลยแถลงข่าว แม้คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญไม่ได้กล่าวถึงโจทก์ แต่จำเลยที่ 3 ก็เชื่อโดยสุจริต จึงไม่มีเจตนาใส่ความโจทก์ อีกทั้งเป็นประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

          นอกจากนี้คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญก็คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผูกพันทุกองค์กรให้ต้องปฏิบัติตาม อันเป็นประเพณีปฏิบัติมานานสอดคล้องกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 770/2526 กับ 4543/2544 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 3 ไม่เป็นความผิด การกระทำของจำเลยที่ 1,2 และ 4 จึงไม่เป็นความผิดไปด้วย จึงพิพากษายกฟ้อง 

          หลังฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ศาลแจ้งนายอภิสิทธิ์ว่ามีกลุ่มเสื้อแดงมารอพบนายกฯ อยู่หน้าศาล นายอภิสิทธิ์ทราบดังนั้นก็ทำท่าเหมือนเข้าใจดี จึงเดินตามเจ้าหน้าที่เดินออกทางด้านข้างศาล โดยมีรถมารอรับพาออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ฝ่ายคนเสื้อแดงต่างผิดหวังที่ดักรอพบนายกฯ มาตั้งแต่เช้า


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก