x close

ผิดด้วยหรือที่พ่อผมเป็นตุ๊ด จากใจ ฟลุค เดอะสตาร์










เรียบเรียงประเด็นโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก youtube.com และ รายการตีสิบ

        โด่งดังกลายเป็นที่รู้จักในระยะเวลาไม่นาน สำหรับ "ฟลุค-พชร ธรรมมล" หรือ"ฟลุค เดอะสตาร์" แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเบื้องหลังความสำเร็จของเขา มีผู้อยู่ข้างหลังคอยผลักดันให้ก้าวออกมายืนข้างหน้าได้อย่างเต็มภาคภูมิใจ นั่นก็คือ "ครูต้อ-ปัญญา ธรรมมล" หรือพ่อเลี้ยงที่ถูกต้องตามกฎหมายของ "ฟลุค" แต่ชื่อเสียงก็มาพร้อมกับคำครหาต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็น ฟลุคเป็นเกย์, พ่อกระเทยของฟลุคเลี้ยงดูเอาไว้เป็นสามี ฯลฯ ดังนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปเปิดเผยความจริงทุกประเด็นเกี่ยวกับเขากัน แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับหนุ่มคนนี้กันซะก่อน...

           ฟลุค หรือ พชร ธรรมมล (ชื่อเดิม ปรมัติ ธรรมมล) เกิดเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2531 เป็นชาวกรุงเทพมหานคร สูง 174 เซนติเมตร ขณะนี้กำลังศึกษาอยู่คณะนิเทศศาสตร์(Communication Arts) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ซึ่งหลายคนคงรู้สึกคุ้นหน้าค่าตากับหนุ่มน้อยคนนี้ เพราะเขาก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่เด็กๆ มีทั้งงานละคร ภาพยนตร์ รวมถึงเคยออกอัลบั้มกับเพื่อนๆ อีกด้วย แต่ที่สร้างชื่อเสียงมากที่สุดคงจะเป็นการได้เข้าแข่งขัน "The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ปี5" แต่ถึงจะไม่ได้ตำแหน่ง เขาก็สามารถผ่านเข้าไปถึงรอบ 3 คนสุดท้ายสำเร็จ จนทำให้มีแฟนเพลงติดตามผลงานมากมาย 

           ขณะเดียวกัน เมื่อโด่งดังเป็นที่รู้จักมากขึ้นๆ กระแสข่าวลือข่าวเม้าท์ก็ออกมาเบรกความฮอตเสมอ โดยหนุ่มฟลุคโดนข้อหาว่าไม่ใช่ชายแท้บ้างล่ะ เป็นเด็กกระเทยบ้างล่ะ หรือแม้แต่มีพ่อเป็นกระเทยก็ต้องเป็นกระเทยเป็นเกย์เหมือนพ่อบ้างล่ะ งานนี้หนุ่มฟลุคไม่รอช้าออกมาเปิดใจว่า ฟลุครู้เรื่องว่าป๊าเป็นกระเทยตอนเด็กๆ เพราะมีคนมาล้อว่ามาบอกว่ารู้เปล่าว่าจริงๆ แล้วป๊าเรานะเป็นตุ๊ดนะ ด้วยความที่ฟลุคเป็นเด็กก็ยังงงอยู่ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ด้วยน้ำเสียงที่เขาพูด ฟลุคก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาว่าป๊ามันคงไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่ ฟลุคก็จะเถียงเสมอว่าไม่ใช่ป๊าเป็นผู้ชาย ซึ่งป๊าก็ไม่ได้ปิดบังว่าป๊าเป็นยังไง แต่คือป๊าก็พยายามทำตัวให้แมนๆ เป็นผู้ชาย คือป๊าก็ไม่เคยมานั่งบอกว่าเขาเป็นนะ แต่เขาจะแสดงอาการออกมาให้เห็นเลย พอฟลุคโตมาก็เริ่มรู้เรื่องเอง จากการที่ไม่มีผู้หญิงเข้ามา แล้วก็เพื่อนๆ ป๊า ก็จะเป็นแบบนี้หมดเลย รวมถึงเด็กที่เรียนกับป๊าเองด้วย 

           "เท่าที่ฟลุคจำได้ ไม่มีใครมานั่งบอกว่าใครเป็นพ่อตัวจริงหรือพ่อเลี้ยง มันเหมือนกับเรารู้ด้วยตัวเอง ซึ่งตอนนั้นคุณตอนเด็กๆ คุณพ่อ(ทรงวุฒิ รมยะพันธุ์ พ่อแท้ๆ ของฟลุค) จะมาหาทุกเดือน ป๊าก็ไม่เคยจะมาปิดกั้นไม่ให้เจอคุณพ่อคุณแม่ ส่วนตัวฟลุคเองไม่เคยรู้สึกว่าเราขาด อาจเพราะเราเจอป๊ามาตั้งแต่เกิด ทำให้ฟลุคไม่คิดว่าชีวิตจริงๆ เราต้องประกอบด้วย พ่อ แม่ แต่พอโตมาเรื่อยๆ เราอาจเห็นคนอื่นอยู่กับพ่อกับแม่ แต่เราก็ไม่คิดอะไร เหมือนเราชินและยอมรับ ฟลุคไม่คิดว่ามันน่าอายหรือว่าเสียหาย เพราะป๊าให้สิ่งดีๆ กับชีวิตฟลุคเยอะมาก ให้ฟลุคเรียนดีๆ ดันฟลุคเข้าวงการ ทุกวันนี้ฟลุคภูมิใจในตัวป๊า เหมือนที่ทุกๆ คนภูมิใจในตัวพ่อ เพราะป๊าก็เหมือนพ่อคนหนึ่ง ฟลุคอยากทำให้เขามีความสุข ตอนนี้ทำอะไรก็จะนึกถึงเขาเป็นคนแรกครับ" ฟลุค เปิดใจ

           ทางด้าน ครูต้อหรือพ่อเลี้ยงฟลุค เปิดเผยว่า เราเลี้ยงฟลุคมาตั้งแต่ 6 เดือน คือเรายอมรับเลยว่าเมื่อก่อนเราแต่งเป็นหญิงเลย แต่งเต็มที่ แต่พอเอาฟลุคมาเลี้ยงเราก็ไม่อยากให้สังคมมาประณามลูกเรา ตั้งแต่นั้นมาก็พยายามบอกตัวเองอยู่ตลอดว่าเราจะเป็นแบบเก่าไม่ได้แล้ว ทั้งๆ ที่มันฝืนความรู้สึกเรามาก คือตอนนั้นเราเพิ่งสอบบรรจุเป็นอาจารย์อยู่ที่กรมศิลปากรได้ใหม่ๆ ก็ลำบากพอสมควร และทางบ้านก็ไม่อยากให้รับเลี้ยงฟลุคไว้ เพราะกลัวมีปัญหาตามมา ก็พยายามบีบบังคับให้เราเอาลูกไปคืนหนึ่ง (ทรงวุฒิ รมยะพันธุ์) ซึ่งทางบ้านก็บอกเราว่า ถ้าอยากจะเลี้ยงฟลุคก็ออกจากบ้านไปเลย แล้วไม่ต้องเอาของอะไรติดตัวไปซักชิ้นเดียวนะ ตอนนั้นเรารู้สึกถูกชะตากับเขาก็เลยตั้งใจไว้ว่ายังไงก็ต้องเลี้ยงดูเขาให้ได้ ทั้งๆ ที่ตัวเราเองไม่ชอบเด็กมาตั้งแต่เกิด แต่กับฟลุคมันเหมือนเป็นความผูกพัน ตอนที่ได้เขามาวันแรกเราก็บนว่าถ้าชาติก่อนเราเคยเลี้ยงดูกันมา ก็ขออย่าให้เขาร้องแม้แต่นิดเดียว ก็ปรากฎว่าฟลุคไม่ร้องแม้แต่นิดเดียว เราเลี้ยงดูกันมาตลอด ดูแลกันและกัน เราทำทุกอย่างเพื่อเขาได้เลย 

           "ตอนที่ได้เขามาลำบากมากเหมือนกัน ต้องอดมื้อกินมื้อ วันเสาร์-อาทิตย์ ต้องเข้ากรุงเทพฯ มาเต้นเพื่อหาเงิน หาเงินได้มาเท่าไหร่ก็ไปหมดกับเขา เพราะตอนเด็กๆ เขาสุขภาพไม่ดี เป็นภูมิแพ้และโลหิตจาง ทุกวันธรรมดาเราต้องนั่งรถจากอ่างทองเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมารับขนมไปขาย ซึ่งได้กำไรวันละ 400 บาท เพื่อเอาเงินไปรักษาเขา พอตกวันเสาร์-อาทิตย์หอบลูกกระเตงๆ เข้ามากรุงเทพฯ จนเพื่อนๆ นักเต้นตั้งฉายาให้ว่า "นักเต้นพ่อลูกอ่อน" จำได้ว่าตอนที่เราเต้นพอถึงคิวก็ต้องเอาลูกไปฝากให้นักเต้นคนอื่นอุ้มแทนก่อน ทำอย่างนี้ทุกๆ วัน เป็นเวลา 2 ปี จนวันหนึ่งฟลุค 3 ขวบกว่า มีพระเอาดวงของเราไปดู แล้วบอกเราว่าจะมีเด็กให้คุณนะ ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่คิดเลยว่าเป็นเขา คือเราชอบดูดวง และทุกครั้งที่ดูก็จะมีแต่บอกว่ามีเด็กจะให้คุณ จนหลวงพ่อที่อ่างทองขอผูกดวงเรากับเขา ท่านก็บอกว่าเขาเป็นลูกเราเมื่อชาติก่อน แต่มาเกิดกับเราไม่ได้ จึงต้องมาเกิดกับคนอื่นแทน ซึ่งเราก็เชื่อนะ แต่เรื่องให้คุณนี่เฉยๆ เพราะเวลาให้เขาเลือกลอตเตอรี่ให้เขาจะไม่ยอมเลย แต่ผ่านไปสักพักอยู่ดีๆ ฟลุคเขาก็จับลอตเตอรี่ให้ 3 ใบ ซึ่งก็ถูกหมด และเราก็ถูกแบบนี้ติดกันหลายงวดมาก ตั้งแต่นั้นมาชีวิตเราก็ดีขึ้นเรื่อยๆ" ครูต้อ กล่าว

           ครูต้อ เปิดเผยอีกว่า ตอนเด็กๆ ฟลุคอยากทำอะไร อยากเรียนอะไรเราส่งเสียเต็มที่ ไม่เคยขัดเลย ตอนเด็กๆ เราพาเขาไปประกวดโน้นนี่ตลอด ซึ่งเขาก็ชนะเสมอ มีรางวัลติดบ้านมากมาย จำได้ว่าที่เขาเข้าวงการเพราะเราไปอ่านหนังสือพิมพ์เห็นข่าวว่ารับสมัครดาราเด็ก เราก็พาเขาไป พอพรุ่งนี้ก็มีคนโทรเข้ามาให้ไปทำงานเลย ซึ่งตอนนั้นฟลุคมีงานเยอะมากๆ เราก็ดูแลเขามาเรื่อยๆ แต่เมื่อ 5 ปีก่อน เราป่วยเป็นไวรัสเชื้อจากนกพิราบขึ้นสมอง ตัวผอมดำ หมอก็บอกว่าไม่รอดแน่ๆ ให้ทำใจ ตอนนั้นก็ไม่อยากให้ลูกมาเห็นสภาพเราที่เป็นแบบนี้ แต่ฟลุคก็มาจนได้ ตอนที่เห็นหน้าเขาเราก็อธิษฐานในใจว่า ขอให้เราเลี้ยงเขาจนจบปริญญาโท คืออยากเลี้ยงดูเขาให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็บอกว่าถ้าเป็นไปได้แล้วและเราไม่ตายก็ขอบวช พอฟลุครู้ก็มาขอบวชด้วย

           อย่างไรก็ตาม พ่อเลี้ยงฟลุคยังขอเคลียร์ถึงกระแสข่าวที่ฟลุคถูกกล่าวหาเป็นกระเทยว่า เวลาไปเดินกับลูกก็จะมีแต่คนมองว่าเราเลี้ยงเด็ก เราบอกเสมอว่าฟลุคต้องทำตัวดีๆ นะ ด้วยความที่เราอยู่ในกรมศิลปากร ก็สอนให้ทำเขาตัวเรียบร้อย จนบางทีคนก็เลยมองว่าเขาเป็นกระเทยหรือเปล่า ซึ่งเราจะบอกฟลุคเสมอว่าถ้าแกเป็นตุ๊ดป๊ากระทืบเลยนะ เพราะเรามีประสบการณ์มาก่อนว่าสังคมรอบข้างเขารู้สึกยังไง บางครั้งมีใครมองเราแล้วก็เอาไปพูดดูถูก เราก็กลับมานั่งร้องไห้คนเดียว ซึ่งบอกได้เลยว่าตัวลูกไม่ได้เป็นตุ๊ดเป็นแต๋วอย่างที่ใครๆ พูดกัน แต่ตัวเรานี่ยอมรับเลยว่าเราเป็น คืออยากบอกว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกเป็นได้ 

           ในขณะที่ หนึ่ง-ทรงวุฒิ พ่อแท้ๆ ของฟลุค กล่าวว่า เมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว ผมมีคดีความถูกตำรวจจับ ตอนนั้นผมก็ไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้อง ก็เลยถามแฟน (แม่ฟลุค) ซึ่งตอนนั้นอายุ 19 ปี ว่าจะเลี้ยงลูกได้ไหม แฟนเขาก็ตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน ทำให้ผมเป็นห่วงลูก ตอนนั้นก็คิดถึงพี่ต้อ เลยโทรไปหาถามเขาว่าเลี้ยงลูกให้หน่อยได้ไหม พี่ต้อก็รับปากเลยว่าได้ ผมก็เลิกห่วงแล้ว เพราะเห็นว่าพี่เขาเป็นคนดี ผมก็เชื่อก็ไว้ใจเขา เพราะผมก็เป็นลูกเลี้ยงเหมือนกัน ไม่มีพ่อแม่ ทำให้ผมไม่อยากให้ลูกคิดเหมือนผม หรือรู้สึกเหมือนผม ทุกวันนี้ผมก็ไม่เคยอยากเอาลูกคืน เพราะเรารู้ว่าเขาอยู่อย่างสบายแล้ว จะมีแต่เคยเอ่ยปากชวนไปอยู่ด้วยตอนที่พี่ต้อป่วยจนคิดว่าไม่น่าจะรอด ฟลุคบอกยังไม่ไป จะขออยู่พยาบาลพี่ต้อไปจนถึงวินาทีสุดท้าย ตอนนั้นเราก็ไม่เสียใจนะ เพราะรู้สึกว่าลูกเรากตัญญูมาก แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว ผมคิดตลอดว่าผมตัดสินใจไม่ผิด 

           และนี่คือความรักของผู้ชายคนหนึ่ง ที่อาจจะไม่ได้ดีเพียบพร้อม แต่เขาก็พยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนที่ขึ้นชื่อว่า "ลูก" โดยใช้แค่ความบริสุทธิ์ในสัญชาติญาณแห่งความเป็น "พ่อ" มอบให้ลูกคนนี้ และทำเพื่อลูกคนนี้เท่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้ 



 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
youtube.com

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ผิดด้วยหรือที่พ่อผมเป็นตุ๊ด จากใจ ฟลุค เดอะสตาร์ อัปเดตล่าสุด 17 มิถุนายน 2552 เวลา 18:09:06 133,603 อ่าน
TOP