x close

ปาน-ธนพร กับ พรหมลิขิต ครั้งล่าสุด



"ปาน-ธนพร" กับ "พรหมลิขิต" ครั้งล่าสุด (อาร์เอส)

           คุณเชื่อใน "พรหมลิขิต" บ้างไหม?

           ...เป็นคำถามที่ถูกนำมาถ่ายทอดในภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง  บทความหลายๆ บทความ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามีจริงหรือไม่วันนี้ "ปาน-ธนพร" นำคำว่า "พรหมลิขิต" มาเป็นคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มชุดที่ 7 ของเธอ บ่งบอกเรื่องราวความเหลือเชื่อเกี่ยวกับ "พรหมลิขิต" กับ "ความรัก"

           คุณไม่มีวันรู้ได้เลยว่า "ใคร" คนนั้นใช่ตัวจริงของคุณหรือไม่  
           คุณไม่มีวันรู้ได้เลยว่า "อะไร" จะเกิดขึ้นกับความรักที่คุณมีอยู่
           คุณไม่มีวันรู้ได้เลยว่า "ความรัก" ที่คุณเฝ้ารอมันจะมาถึงเมื่อไหร่
           และ คุณไม่มีวันรู้ได้เลยว่า "การสูญเสีย" ถึงเกิดขึ้นกับคุณได้อย่างไม่ตั้งตัว
           ก็เพราะมันคงเป็น "พรหมลิขิต" ที่ถูกกำหนดไว้แล้วก็อาจเป็นได้

 เล่าถึงการทำงานอัลบั้มนี้?

           ปาน : จริงๆ เราเริ่มทำตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ค่อยๆ ทำ เนื่องจากว่าเราประชุมกันว่าเราอยากเปลี่ยนวิธีการของเพลง วิธีการของเรา เพราะเราต้องเดินตามอายุของเราด้วย ณ วันนี้เราโตขึ้นมากแล้ว  เราเลยต้องมีการคุยกันมาเรื่อยๆ ซึ่งพี่จะทำงานยากตรงที่ไม่ค่อยมีเวลามากนัก เพราะคอนเสิร์ตก็ยังเล่น  คือใช้ชีวิตเหมือนเดิมอย่างบางคนเค้าหยุด พอจะทำงานหนึ่ง เค้าจะหยุดคอนเสิร์ตหยุดงานไว้ แต่พี่ไม่ได้หยุดเลย ยังรับงานปกติ รวมถึงงาน Event ต่างๆ ด้วย  เพราะฉะนั้นเวลาที่จะคุยกับทีมงานก็จะน้อย  พอคุยกันอัพเดทว่าเราต้องการจะทำอะไร จากนั้นทีมงานเค้าก็จะดูว่าถึงตอนนี้ ณ วันนี้เราโตมากแล้ว ทำงานมาตั้ง เป็น 10 ปีแล้ว โลโก้ของเราจะออกแนว Drama Queen เพลงจะต้องแรง จิก กัด พอมาถึงตอนนี้เค้าเลยมองว่ามันน่าจะถึงเวลาแล้วที่ต้องหาอะไรที่เข้ากับวัย  เข้ากับวุฒิภาวะที่เป็น การจะมานั่งด่าคนอื่นก็คงเป็นอะไรที่ไม่สมควรแล้ว เลยเปลี่ยนมาหยุดด่าแล้วหาชั้นเชิงที่มันเหนือขึ้นไป การจะพูดอะไร จะว่าใครจากแต่ก่อนที่ด่าตรงๆ ตอนนี้ก็ต้องหันมาใช้คำที่มันสูงขึ้น ความหมายด่าเหมือนเดิม เจ็บเหมือนเดิม แต่ภาษาไม่ได้หยาบคาย ไม่ได้แทง แต่ถามว่าคนฟังต้องรู้สึกไหม  คือต้องรู้สึกว่าด่า พอเรามาสรุปถึงตรงนี้การทำงานมันเลยมาสรุปตรงคำว่า "พรหมลิขิต" ขึ้นมา 

          ถามว่าทำไมต้องเป็น พรหมลิขิต"  แล้วคำว่า "พรหมลิขิต" แบบ ปานจะพูดอะไรได้บ้าง  คำว่า "พรหมลิขิต" มันครอบคลุมคอนเซ็ปต์ที่ว่าต้องเป็นเรื่องจริง เป็นสิ่งที่ยังจับต้องได้ ซึ่งบางคนจะไม่เชื่อเรื่องนี้ มักบอกว่ามันไม่มีจริงหรอกเรื่อง "พรหมลิขิต" มันเป็นความบังเอิญ มันเป็นเรื่องไกลตัว เป็นสิ่งปาฏิหาริย์  แต่จริงๆ คำว่า "พรหมลิขิต" มันเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น คนบางคนอยู่กันคนละซีกโลก แล้ววันหนึ่งก็มาครองคู่อยู่ด้วยกันจนแก่ตาย มันเป็นเรื่องที่พี่รู้สึกว่า ไม่สงสัยเหรอว่าเกิดขึ้นได้ยังไง  หรืออย่างบางคนเป็นเพื่อนเล่นมากันตั้งแต่เด็กๆ ต่างคน ก็ต่างมีชีวิตของตัวเอง มีแฟนของตัวเอง แต่วันหนึ่งก็โคจรมาอยู่กันจนแก่ ซึ่งจริงๆ คุณอาจจะไม่รู้เลยว่ารักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่เคยรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นความรักเหรอ มันเป็นความผูกพันเหรอ อย่างเรื่องแบบนี้คุณจะหาคำอะไรมาอธิบายได้ หาคำอะไรมาบอกได้นอกจากคำว่า "พรหมลิขิต" หรือเรียกว่า "ชะตา"  แล้วพอคิดถึงคอนเซ็ปต์ตรงนี้ได้ มันก็เลยเกิดเป็นเพลง "เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง" ก่อน  เพราะพี่เชื่อว่าคนบางคนที่ยึดติดอยู่ กับอดีตมันเป็นเรื่องของผู้หญิง หรือผู้ชายที่ยึดติดอยู่กับภาพของอดีต ภาพของความทรงจำเดิมๆ ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปไหน เดินวนอยู่กับสิ่งที่เคยชิน  และยังอยากเห็นมันเป็นแบบนั้นอยู่เสมอ มันกลายเป็นว่าคนๆ นี้ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน มันก็เป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่ในหัว มันก็เป็นเรื่องของ "พรหมลิขิต" ที่ตัวเค้าคิดว่า อยากอยู่แบบนี้ อยากได้แบบนี้ ยังรักเค้าเหมือนเดิม ยังได้กลิ่นของอดีต เพลง "เหตุการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง" มันเลยเป็นเพลงที่มีบรรยากาศ เป็นเพลงที่เล่าถึงบรรยากาศเก่า รายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมที่เคยดูหนัง ภาพเดิมๆ ที่เค้านอนตรงนี้ เคยชงกาแฟอยู่ตรงนี้ ยังได้กลิ่นกาแฟ มันเลยเป็นเพลงเล่าขึ้นมาถามว่าคนๆ นั้นรู้ไหมว่ามันไม่สามารถกลับมาได้ เค้ารู้ทั้งรู้ แต่มันมีเป็นการไม่ยอมรับความจริงๆ ของคนๆ หนึ่ง  มันเลยเป็นที่มาของอีก 9 เพลงที่เหลือค่อยๆ มาทีละเพลง

 เพลงทุกเพลงเชื่อมโยงกัน?

           ปาน : เพลงทุกเพลงมันไม่ได้เชื่อมโยงกัน แต่ทุกเพลงจะต้องมีความเป็น "พรหมลิขิต" ของมันอยู่ข้างใน  แล้วเพลงในอัลบั้มนี้จะเป็นเรื่องที่บวกๆ เยอะมากๆ  เป็นเรื่องของใครสักคนที่ต้องการคนรัก หรือใครสักคนที่กลัวความรักเหลือเกิน เคยโดนความรักทำร้าย แล้วรู้สึกว่าชีวิตนี้ "พรหมลิขิต" ทำให้เราเกิดมาไม่มีคู่ ให้รู้สึกว่าต้องผิดหวังตลอดเวลา แต่แล้ววันหนึ่ง "พรหมลิขิต" ก็อาจจะพาคุณมาเจอใครสักคนหนึ่งที่คุณรู้สึกว่า ถึงเวลาที่เจอตัวจริง  ซึ่งทั้ง 9 เพลง มันก็จะเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ แต่ในนั้นก็จะยังมีเพลงที่หนักหน่วง แน่นอนว่าคำว่า "ปาน" คงจะทิ้งภาษาดุๆ ไปเลยก็คงไม่ได้  เราต้องนึกถึงแฟนๆ เก่าๆ ของเราที่เค้ายังอยากจะได้ยินภาษาแบบนี้จากเราอยู่ แต่ ณ วันนี้คุณโตแล้ว จะไปโวยวาย โดยใช้ถ่อยค้ำเหมือนเดิมนั้นแปลว่าวุฒิภาวะทางสมองของคุณไม่ได้โตขึ้นเลย เรียกได้ว่าทุกอย่างต้องทำไปตามวุฒิภาวะทางอารมณ์ และอายุที่จะต้องโตขึ้นไป

 ข้อมูลที่นำมาทำอัลบั้ม?

           ปาน : พี่ได้มาจากการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์อยู่ตลอดเวลา การเราคบเพื่อนหลายกลุ่ม นี่คือสิ่งหนึ่งที่เป็นวิธีการ  พี่เป็นคนไม่คบเพื่อนกลุ่มเดียว พี่จะไม่ปิดตัวเองด้วยการไม่เปิดใจรับเพื่อนใหม่ เพราะนั่นมันเหมือนการตั้งกำแพงให้ตัวเองเกินไป และการที่เราทำงานตรงนี้มันต้องปฏิสัมพันธ์กับคนเยอะๆ ไม่งั้นเราจะไม่รู้เลยว่าโลกมันเดินทางไปถึงไหน การเป็นนักร้องต้องอาศัยความเชื่อจากคนฟัง และตัวเองก็ต้องเชื่อในสิ่งที่กำลังร้อง เพราะฉะนั้นข้อมูลของพี่คือการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น การที่พี่วางตัวแบบนี้ การที่เรามีความเป็นพี่ คำว่าพี่มันจะได้เปรียบตรงที่ว่า คำว่าพี่ ใครๆ ก็จะเดินมาหา แล้วจะเล่านู่นเล่านี่ให้ฟัง คนนู้นมีปัญหาชีวิตแบบนู้น คนนี้มีปัญหาชีวิตแบบนี้ เราก็จะได้รู้ว่าคนนี้น่าสงสารนะ คนนี้เจอกับอะไรอยู่ คนนี้เจอแบบนี้แล้วมีวิธีแก้ปัญหายังไง เราก็จะรู้มากขึ้นถึงอารมณ์ของคน เราจะเห็นแล้วว่าแต่ละคนมันมีมุมมองไม่เหมือนกันเลย พี่ก็ได้ข้อมูลจากสิ่งเหล่านั้นมาใช้ในการทำงานค่ะ

 หนักใจไหมที่ตัดสินใจเปลี่ยนแนวเนื้อหาเพลงของตัวเอง?

           ปาน : พี่จะบอกว่าจริงๆ แล้วการทำงานทุกชุดเรามีความหนักใจทุกชุด ไม่ว่างานนั้นจะเปลี่ยนสีหรือไม่เปลี่ยนสี เพราะการที่คุณจะทำงานสักชิ้นหนึ่งแล้วออกสู่สายตาของคนจำนวนมากเนี่ย มันมีคำว่าหนักใจอยู่ในนั้นเสมอ มันใช้คำว่าวางใจไม่ได้ เพราะแต่ละครั้งทุกอย่างมันต้องเคลื่อน อย่างอัลบั้มที่ผ่านมาตั้งแต่ 1 ถึง 6 นี่ เราจะโดนวิจารณ์เสมอว่าชอบด่าผู้ชาย ณ วันหนึ่งด่าผู้ชายไม่ได้ ก็หันมาด่าผู้หญิงแทน เป็นกระบอกเสียงแทน แต่ถ้ามีการฟังอย่างตั้งใจ แล้วเอามาไล่เรียงดูตั้งแต่ 1 ถึง 6 จะรู้ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงในทุกชุด ไม่ว่าจะเป็นภาคเนื้อร้องที่มันขยับเลเวล แต่เป็นการขยับแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ขยับแบบให้มันตกใจ อย่างเรา "ตบมือข้างเดียว" เสร็จ เราก็มาบอกว่า "เราคืนเขา" แล้วค่อยมาบอกว่าเรา "ขอเลวแค่นี้นะ" เราเป็น "รักแท้แพ้ใกล้ชิด" นะ หลังจากนั้นเราไปไหนต่อ แล้วเราก็มาต่อด้วยบอกว่าการที่เราทำแบบนี้มันเป็นเรื่องของ "นรกในใจ" นะ หรือ "หญิงร้ายชายเลว" เพื่อบอกว่าหญิงกับชาย เวลาจะร้ายมันร้ายได้เท่ากัน จนสุดท้ายแล้ว ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเกิดมามันจากอะไรล่ะ มันก็เกิดมาจากความ "หวง" ใช่หรือไม่  มันคือวิธีการใช่หรือไม่ ทุกอย่างมันเกิดมาจากความหวงของคนๆ หนึ่ง สุดท้ายมันก็เลยด่ากันออกไปว่า "เหมือนตัวอะไรไปคิดเอง" ถามว่ามันแรงไหมมันก็ไม่ได้แรง หยาบคาย แค่มันเป็นชั้นเชิงของภาษาที่เก่งมากๆ ของคนเขียนที่รู้จัก ใช้ภาษา

          จากนั้นกลับมาเป็นคำธรรมดาที่ว่า "เบอร์นี้ไม่มีคนของเธอ" ถามว่ามันแรงเหรอ มันไม่มีคำหยาบแค่บอกว่า "ไม่มีใครตายอย่าโทร" หยาบตรงไหน ถ้าเราจะพูดว่า "ไม่มีใครตายอย่าโทร" เราพูดได้วันละพันครั้ง เพราะมันไม่มีคำหยาบ แต่ถามว่าฟังแล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนฟัง คนฟังจะรู้สึกได้เองเลยว่า ไม่มีใครตาย แต่อย่าโทรได้ไหม นี่คือชั้นเชิงที่จริงๆ แล้วงานของเรามันถูกพัฒนามาตลอดเพียงแต่ไม่มีใครมานั่งวิเคราะห์ว่าในแต่ละรายละเอียดเราทำอะไรลงไปบ้าง  เพราะเราใช้วิธีค่อยๆ ขยับ แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ความหนักใจของทีมงานมันมีแน่นอน แล้วเค้าก็ถามพี่ว่ามันเป็นการเสี่ยงไหม พี่ก็บอกว่าจริงๆ เราเสี่ยง ตั้งแต่แรกแล้ว ความเสี่ยงมันคืองานที่เราทำมาตลอดเวลาต่างหาก การที่เราออกมาแล้วด่าคนอื่นเนี่ยเสี่ยงกว่าที่เราออกมาแล้วเป็นแบบนี้ จริงๆ ต้องบอกว่าเรา พ้นความเสี่ยงมาหมดแล้ว เราข้ามจุดตรงนั้นมาแล้ว นี่เราแค่กำลังทำให้สิ่งในตลาดใครๆ เค้าก็ทำกัน แต่ถ้าถามว่าปานจะร้องเพลงเศร้ามันต้องเศร้าแบบไหน  จะเศร้าแบบที่ตลาดเค้าเศร้ากันมันพอไหม คำตอบคือมันไม่พอ เราเดินมา 6 ชุด มันหน่วงหน่วง มันเป็นภาษาไทยที่ใช้กันแบบชาวบ้านเค้าไม่ใช้กัน แล้วอยู่ๆ วัน หนึ่งพี่ต้องมาร้องเพลงที่มันลึกๆ จริงๆ คุณต้องเศร้าให้สุดเช่นกัน เพราะมันเป็นเรื่องเศร้าที่คนๆ หนึ่งต้องวนอยู่ในอดีต ภายเรืออยู่ในอ่าง ไม่หลุดกับอดีตทั้งๆ ที่รู้ แต่มันยอมรับไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองสูญเสีย งานชิ้นนี้มันเลยดูเหมือนจะเข้มข้น ฟังแล้วมันหนัก มันหนักในแง่ของ Emotion สุดๆ แล้วยิ่งเจอ MV เข้า ยิ่งหนักมาก

 พูดถึง MV "เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง"?

           ปาน : คนที่มาเล่น MV แน่นอนว่าเราต้องเลือกคนที่อยู่ในกระแสก่อน คือ "พี่ป๊อก" จริงๆ แล้วเราจีบเค้ามาเล่นหลายทีแล้ว แต่ด้วยเวลาด้วยอะไรยังไม่เหมาะ  คือหนึ่งเลยเค้าเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมในเรื่องของการถ่ายทอดอารมณ์ พอถึง ณ จังหวะช่วงนี้โชคดีที่เค้ามีเวลาพอที่จะมาเล่นให้เรา และมันก็พอดีกับที่เค้ามี กระแสในเรื่องของละคร แล้วเราก็ไม่ผิดหวังเลยที่เลือกเค้า เพราะคนที่จะมาถ่ายทอดตรงนี้ได้ต้องเก่งมากๆ ซึ่งตัว "พี่ป๊อก" เป็นนักแสดงจริงๆ ที่ทำการบ้าน  เท่าที่พี่ฟังจากผู้กำกับมาเนี่ย ผู้กำกับบอกเลยว่าเค้าจะจดรายละเอียดเสมอเช่นว่า ซีนนี้ต้องร้องไห้แบบนี้ ซีนนี้เศร้าแบบนี้ต้องร้องไห้อารมณ์แบบนี้ เค้าจะมีการจดของเค้า หรือซีนนี้คือการรอคอย เพราะฉะนั้นน้ำตาที่จะร่วงเนี่ยต้องร่วงแบบไหน นึกออกไหมว่าเค้าเก่งขนาดนี้ นี่ทำให้เราจำเป็นต้องให้เค้ามาแสดงให้เราให้ได้  ในขณะที่คุณ "พอล-ภัทรพล" มีภาพลักษณ์ที่ใกล้เคียงพอที่จะประกบกับพี่ป๊อกแล้วดูแล้วไม่เขิน ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นคู่รักกัน ในขณะที่ "ได๋" และ "แทค" ก็เช่นกัน เป็นคู่วัยรุ่นที่มีคาแร็กเตอร์ที่แรงด้วยกันทั้งคู่ เพราะใน MV ได๋จะเป็นดีไซน์เนอร์ที่แต่งตัวแรง มีความมั่นใจ แทคก็เช่นกัน แสดงเป็นตากล้องเจ้าชู้ไปเรื่อย เพราะวันๆ เจอแต่ของสวยงาม ก็จะเป็นคาแร็กเตอร์ของคนเจ้าชู้ ซึ่งแทคเค้าก็ดูชัดเจนของเค้าตรงนี้อยู่แล้วตลอดเวลา ซึ่งมันก็จะมีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอม  แล้วเราก็เลือกตรงนี้ซึ่งเชื่อว่าสมบูรณ์แบบทั้ง 2 คู่ พอเค้ามาเล่นแล้วมันก็ไม่ผิดหวังจริงๆ

 MV ตัวต่อไป?

           ปาน : ก็จะยังคงที่ "แทค" กับ "ได๋" ชื่อเพลงว่า "เหตุผล" แต่ว่ามันจะอีกมุมหนึ่งที่แฟนเก่าๆ อาจจะชอบ มันจะไม่ได้เศร้าเหมือนเพลงแรก และเพลงมันก็ไม่ได้ ด่าแรง แต่มันจะมีแอบซ่อนอยู่เสมอ อย่างคำว่า "เหตุผลควายๆ" มันก็ไม่ได้แรงมาก เพราะมันเป็นคำที่ใครก็คิดขึ้นมาได้ ยิ่งถ้าได้ดูเนื้อหาเพลงที่พี่บั๋งปูมาในเพลง  อย่างว่าถ้าเราเป็นบุคคลที่หนึ่งแล้ววันหนึ่งก็มีคนมาบอกเลิกเราด้วยเหตุผลแบบนี้ ทุกคนก็จะเข้าว่า เออ..เหตุผลควายจริงๆ แหล่ะ  นึกออกไหม ซึ่งเพลงนี้ ได้ "ได๋" กับ "แทค" ก็จะประลองฝีมือกัน ต้องติดตาม

 "พรหมลิขิต" ในแบบปาน?

           ปาน : จริงๆ สำหรับพี่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ไม่ยากที่จะเชื่อ  พี่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันกับที่คนถามว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงเหรอ? เชื่อก็โง่ไม่เชื่อก็โง่ นั่นแปลว่ามีจริง  พี่เชื่อว่ามันมีจริงแต่เราไม่เคยสังเกต เราจะชอบคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ถ้าเราศึกษาความเป็นพุทธ ถ้าเราศึกษาวิทยาศาสตร์เราจะรู้เลยว่าโลกนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้แม้กระทั่งอุบัติเหตุ แม้กระทั่งการดำเนินชีวิต อยู่ๆ วันหนึ่งทำไมเราก็ต้องเปลี่ยนงาน  ทำไมกับคนๆ หนึ่งเรารู้สึกว่าเรารักเหลือเกิน เรามั่นใจว่าจะได้แต่งงานแต่ทำไมเราถึงไม่ได้แต่ง หรือคนบางคนเจอคนหนึ่งแล้วรู้สึกว่าตกใจรักขึ้นมา ทั้งๆ ก็เคยคิดว่า ไม่เห็นจะอยากมีความรัก ไม่เคยสนใจเรื่องความรัก แต่ ณ วันหนึ่งถ้าคนที่ใช่เข้ามาเนี่ยคำว่า "ตกใจรัก" มันจะเกิดขึ้น เราจะรู้สึกว่าเราจะรักได้อย่างประหลาดใจ พี่ถึงได้ถามว่าใครจะอธิบายได้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ทำไมเราต้องยอมคนนี้ ทำไมต้องเป็นคนนี้ มันมีคำอะไรมาอธิบายได้ดีกว่าคำว่า "พรหมลิขิต" เพราะคนคิด ว่าเป็นเพราะข้างบนเค้าลิขิตมานะจึงเกิดคำนี้ขึ้นมา แต่มันมีเหตุและผลอยู่เสมอ

 เนื้อหาเพลงเครียดขึ้น?

           ปาน : มันเครียดแค่เพลงเดียว มันไม่ได้เครียดมาก ถ้าฟังเนื้อในคนจะฟังแล้วยิ้ม แต่อาจจะยิ้มเฝื่อน ๆ กับปานไง ถ้าไม่ยึดติดกับภาพเดิมๆ ก็คงไม่ยากที่จะฟังนะคะ

 การแต่งตัว?

           ปาน : เค้าอยากให้เป็นผู้หญิงมากขึ้น คงต้องดูเรื่องของเพลงก่อน ซึ่งเพลงมันเป็นความอ่อนแอ เพลงมันเรื่องของมุมของผู้หญิงที่เป็น มันไม่ไหวที่จะรับสภาพความจริง ทุกอย่างมันก็ต้องสอดคล้องกัน ก็แค่ดูผมยาว ใส่เสื้อผ้าที่มันดูหวานขึ้น

 ทีมงาน?

           ปาน : โปรดิวซ์เซอร์อัลบั้มนี้จะเป็น "พี่เกี้ย-อนุชา" นะคะ ซึ่งปกติพี่เกี้ยจะเป็น Executive มาตลอด แต่ชุดนี้พี่เกี้ยลงมาทำเอง ส่วนเพลงเป็น "พี่บั๋ง-สุทธิพงษ์"  เหมือนเดิม อย่างเพลง "เหตุการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง" พี่บั๋งเป็นคนทำ  ใช่ว่าพี่บั๋งจะเขียนเพลงด่าคนตลอดเวลา ไม่ใช่นะ เพราะ ณ วันหนึ่งที่เค้าต้องมาเขียนเพลง แบบนี้เค้าก็ทำได้ดีมาก เนื้อข้างในมีอีกหลายๆ เพลง ที่พี่บั๋งเขียนแล้วหลายหลาก เก่งมากเรื่องของการใช้ภาษา แล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่เก่งๆ ในวงการมาช่วยกัน

           นี่คือเรื่องราวของงานอัลบั้มชุดที่ 7 ของผู้หญิงที่ชื่อ "ปาน - ธนพร แวกประยูร" นักร้องหญิงแถวหน้าของเมืองไทย ติดตามอัลบั้มใหม่ของเธอ "พรหมลิขิต" ได้ทุกแผงเร็วๆ นี้ รวมถึงติดตามมิวสิควิดีโอเพลง "เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง" และเพลง "เหตุผล" ได้แล้วตามรายการในเครืออาร์เอส หรือผ่านทาง  http://www.pleng.com/



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ปาน-ธนพร กับ พรหมลิขิต ครั้งล่าสุด อัปเดตล่าสุด 26 มิถุนายน 2552 เวลา 18:04:00 24,107 อ่าน
TOP