เคอิโงะ
เคอิโงะ
เคอิโงะ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ข่าวสด,ไทยรัฐ
ย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อน เราได้รู้จัก เด็กชาย เคอิโงะ ซาโต เด็กน้อยลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น วัย 9 ขวบ ที่เดินถือรูปพ่อชาวญี่ปุ่น นาม คัทซูมิ ซาโต ถามหาจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่มาเที่ยวในวัดท่าหลวง พระอารามหลวง จังหวัดพิจิตร ว่าเคยพบหน้าบ้างหรือไม่ เป็นประจำทุก ๆ วัน จนกลายเป็นภาพที่น่าสงสารและเวทนาแก่ผู้ที่พบเห็น
ความน่าสงสารและความพยายามของ เคอิโงะ ซาโต ร้อนถึงสื่อมวลชนต้องออกมาประโคมข่าว พาดหัวใหญ่ลงหนังสือพิมพ์นานเป็นสัปดาห์ รวมทั้งพาตัว เคอิโงะ ไปสัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์มากมาย แม้กระทั่งสื่อมวลชนของญี่ปุ่นเองที่ทราบเรื่อง ก็บินตรงมาทำสกู๊ป เพื่อช่วยตามหานายคัทซูมิ ซาโต พ่อของเคอิโงะให้ด้วย
จนกระทั่งเรื่องราวของ เคอิโงะ รับรู้ไปถึงหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร และปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ได้ลงคำสั่งเด้งฟ้าผ่าผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิจิตร ที่เพิกเฉยไม่สนใจช่วยเหลือ เคอิโงะ ทั้งที่รู้เรื่องนี้มานานกว่า 1 ปี
เรื่องราวของน้องเคอิโงะ กลายเป็นข่าวดังรอบสัปดาห์ จนความทราบถึงสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงทรงมีพระราชเสาวนีย์รับสั่งให้ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ ราชเลขานุการในพระองค์ สอบถามความคืบหน้าการติดตามหาพ่อของ เคอิโงะ รวมทั้งให้การช่วยเหลือด้วยความห่วงใย นำมาซึ่งความปลาบปลื้มปิติสู่ครอบครัวของ เคอิโงะ เป็นล้นพ้น
จากนั้น กระทรวงต่างประเทศ ได้สั่งการไปยังสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ช่วยประสานทางการญี่ปุ่นให้ประสานกับการท่องเที่ยวและสำนักงานตรวจคนเข้า เมือง (ตม.) ของญี่ปุ่น เพื่อตรวจสอบและตามหานายคัทซูมิ เรียกได้ว่า ข่าวคราวการตามหาตัวนายคัทซูมิ เป็นข่าวใหญ่ที่มีคนช่วยเหลือเป็นจำนวนมากทั้งในประเทศไทย และในประเทศญี่ปุ่น
ก่อนที่ เคอิโงะ จะได้รับข่าวดี เมื่อสถานทูตญี่ปุ่นในประเทศไทย ได้รับจดหมายจากนายคัทซูมิ ที่ยอมรับว่า เคอิโงะ เป็นลูกชายของตนจริง และต้องการคุยทางโทรศัพท์กับลูกชายเป็นการส่วนตัว ก่อนที่ เคอิโงะ จะได้คุยโทรศัพท์กับพ่อผ่านล่าม ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ เคอิโงะ ก็มีความสุขมาก โดยนายคัทซูมิ สัญญาว่า จะมาหา เคอิโงะ ในช่วงเดือนกันยายน ซึ่งเป็นเทศกาลแข่งเรือของจังหวัดพิจิตร แต่ท้ายที่สุด นายคัทซูมิก็ไม่สามารถเดินทางมาได้เพราะติดธุระ
เคอิโงะ
เคอิโงะ
จนกระทั่งล่าสุด นายคัทซูมิ ได้ติดต่อมาอีกครั้งว่า จะเดินทางมาหา เคอิโงะ บุตรชายในวันที่ 2 ตุลาคม และเมื่อนายคัทซูมิ มาตามสัญญา 2 พ่อลูกที่ได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก ต่างสวมกอดและปล่อยโฮกลางสนามบินสุวรรณภูมิ ท่ามกลางความตื้นตันของประชาชนที่มารอรับญาติ ที่ต่างก็ปรบมือแสดงความยินดีกับ 2 พ่อลูกจนดังกึกก้องสนามบิน
วันรุ่งขึ้น ทั้งนายคัทซูมิ และ เคอิโงะ ได้เดินทางไปร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร จากนั้นได้ไปเล่นน้ำที่สวนสยาม โดย เคอิโงะ ได้พาพ่อไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ รวมทั้งพาไปไหว้นางทิพย์มณฑา จันทร์ประทุม แม่น้องเคอิโงะและอดีตภรรยาของนายคัทซูมิผู้จากไป ก่อนที่นายคัทซูมิ จะเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่น และให้คำสัญญาว่า จะกลับมาเยี่ยมลูกชายอีกครั้งในช่วงสงกรานต์ปีหน้า และเมื่อทุกอย่างที่ญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว ก็จะมากลับรับลูก
อย่างไรก็ตาม หลังนายคัทซูมิ เดินทางกลับไปไม่นาน กลับมีกระแสข่าวในอินเทอร์เน็ต ถึงเรื่องราวความในใจที่นายคัทซูมิ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในสื่อญี่ปุ่น โดยเป็น Forward Mail ที่มีเนื้อหาทำนองว่า
ในช่วงแรกนายคัทซูมิ ไม่ได้คิดมาเมืองไทยเลย เพราะไม่มีรายได้ และเข้าใจว่า ที่เมืองไทยคงใช้กฎหมายเหมือนที่ญี่ปุ่น คือเมื่อพบตัวชายคนใดที่ทอดทิ้งลูกแล้วหนีไป จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ค่าเลี้ยงดู ค่าเสียหาย รวมทั้งผิดกฎหมายด้วย นั่นทำให้เขาไม่อยากมาเมืองไทย แต่เมื่อเขาตัดสินใจมาเมืองไทย กลับพบว่า สิ่งที่เขาคิด เป็นเพียงการคิดไปเอง เพราะคนไทยให้การต้อนรับดีมาก แม้ตัวเขาเองจะเป็นบุคคลที่ทิ้งลูกเมียไปอย่างไม่รับผิดชอบ และไม่ได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทยเลย แต่กลับมีคนคอยช่วยเหลือ ให้พักโรงแรม 5 ดาว อาหารการกินอย่างดี หยิบยื่นเงินทองให้ และตัวเขาเองก็หวังจะกลับมาเมืองไทยอีก รวมทั้งหาทางเอาลูกชายมาที่ญี่ปุ่นด้วย เผื่อว่า คนไทยหรือทางรัฐบาลคงให้การสนับสนุนเรื่องเงินต่อไปอีก...
หลายคนที่ได้อ่านเนื้อหาข้างต้น คงเกิดความรู้สึกด้านลบกับนายคัทซูมิ แต่ทั้งนี้ข้อความข้างต้น ก็เป็นเพียงสิ่งที่ถูกส่งผ่านต่อ ๆ กัน โดยไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจนจึงไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสิ่งที่นายคัทซูมิ ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้จริงหรือไม่ และต่อมาได้มีคนมาให้ข้อมูลโต้แย้งกับข้อความข้างต้น โดยระบุว่า ข้อความต่อไปนี้เป็นสิ่งที่นายคัทซูมิ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับหนังสือพิมพ์เล็ก ๆ ฉบับหนึ่งในญี่ปุ่น ที่ได้เรียบเรียงและแปลว่า มีใจความว่า
"ในครั้งแรกที่ผมได้รับการติดต่อจากรับบาลญี่ปุ่นและไทย ผมทราบรายละเอียดน้อยมาก แต่ผมไม่พร้อมนักเรื่องฐานะ การเงิน เนื่องจากขณะนี้ผมทำกิจการเล็ก ๆ อยู่กับครอบครัว ไม่ได้ร่ำรวยอะไร หากทางรัฐบาลไทยจะให้ผมรับผิดชอบเทียบเท่ากับรัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งผมได้ให้ความช่วยเหลือกับอดีตภรรยาผมไปแล้ว"
"ผมรู้สึกขอบคุณประเทศไทยมาก ที่ต้อนรับผมอย่างบุคคลสำคัญ ทั้ง ๆ ที่ผมทอดทิ้งลูกชายผมไปหลายปี ทั้งนี้เป็นไปตามที่ได้พูดคุยกับแม่เค้าไว้แล้ว แต่ผมไม่อาจเปิดเผยเหตุผลได้"
"ผมประหลาดใจมาก แต่ผมสามารถเข้าใจทุกอย่างได้ คนไทยให้เกียรติผมและลูกมาก ให้ที่พักที่ดีที่สุด และให้ข้อเสนอเรื่องเงินกับผม แต่ผมเป็นคนญี่ปุ่น ผมย่อมปฏิเสธเงินที่ผมไม่ได้หามาเอง"
"หากลูกต้องการ ก็จะให้เขามาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น ผมจะขอเวลาประมาณ 3-4 ปี หรือน้อยกว่านั้น เพื่อสร้างฐานะส่วนทางครอบครัวผม เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และขอขอบคุณรัฐบาลญี่ปุ่นและรัฐบาลไทยที่ได้ช่วยเหลือลูกผมและให้ผมได้มีโอกาสกลับไปกล่าวคำว่ารักกับภรรยาชาวไทยที่เสียชีวิตไปแล้วอีกครั้ง"
แม้ว่า ทั้งสองข้อความจะมีเนื้อหาความในใจของนายคัทซูมิ ที่แตกต่างกัน คือเป็นทั้งด้านบวกและด้านลบ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันที่มาอย่างชัดเจนทั้งคู่ เช่นนั้นแล้ว เราในฐานะผู้รับสาร ก็ควรที่จะฟังหูไว้หูไว้ก่อนดีกว่า จะได้ไม่สรุปความเอาเอง จนกลายเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่ย่อมไม่ส่งผลดีต่อเด็กชายตัวน้อย ๆ ที่เฝ้ารอพ่อมาทั้งชีวิต อย่างน้อง เคอิโงะ ซาโต คนนี้เป็นแน่