"ว่าไปตามความถูกต้อง"...คนดัง-คิดดังกับการนับถอยหลัง 26 ก.พ. (ไทยรัฐ)
ความเข้มข้นของคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เริ่มงวดเข้ามาทุกขณะ หลายภาคส่วนได้แสดงทัศคติต่อเรื่องนี้อย่างหลากหลายมุมมอง นักแสดงและบุคคลผู้มีชื่อเสียงในสังคมก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่เป็นเจ้าของประเทศ
ไทยรัฐออนไลน์ ได้สอบถามถึงทั้งผลกระทบที่พุ่งตรงมาสู่พวกเขาว่ามีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร โดย น.ส.กิตติวิชญา วัชโรทัย หรือ มะปรางค์ สาวสังคมตระกูลดัง แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้กับไทยรัฐออนไลน์ว่า ไม่ว่าศาลจะตัดสินออกมาในรูปแบบไหน ก็เชื่อมั่นว่าได้คิดและไตร่ตรองโดยผ่านกระบวนการทางกฎหมายอย่างดีแล้ว
"แล้วแต่ศาลจะตัดสินค่ะ ทุกอย่างก็ให้เป็นไปตามกฎหมายดีกว่า ใครทำผิดก็ว่าไปตามนั้น เพราะโดยส่วนตัวแล้วคิดว่าศาลน่าจะมีความยุติธรรมที่สุดแล้ว จะไปบอกว่าศาลผิดหรือถูกก็คงไม่ได้ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านก็เป็นคนที่มีอิทธิพลต่อประชาชน เพราะสังคมก็ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ อยากให้คิดว่าเป็นกรณีตัวอย่างน่าจะดีกว่า ไม่ใช่อะไรที่ขัดกันก็ทะเลาะกันทุกครั้งๆ"
มะปรางค์ บอกอีกว่า อย่างไรก็ดี ถ้าถามว่า 26 ก.พ. 53 ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทย คิดว่าจะเกิดผลกระทบกับวงการสังคมหรือไม่ เธอเชื่อว่าไม่ค่อยกระทบ อย่างไรก็ดี ไม่ว่าผลลัพธ์วันนั้นจะเป็นเช่นไร ก็ขอให้เคารพกติกาบ้านเมืองเท่านั้นก็พอ
น.ส.วิรุฬกานต์ กฤตบุญญาลัย หรือ ฝน ดารา และ เซเลบฯ ชื่อดัง แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ควรจะหาหลักฐานต่างๆ เพื่อใช้ในการตัดสินให้มีความชัดเจนกว่านี้ ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรมจะดีกว่า เพราะการจะยึด ไม่ยึด หรือยึดแค่บางส่วนนั้น ควรจะต้องแยกแยะให้ถูกต้องว่าของใครเป็นของใคร
"ส่วนตัวฝนให้ความเคารพต่อศาลที่ตัดสินนะ แต่ก่อนจะตัดสินก็ควรยึดหลักตามกฎหมายที่ถูกต้อง มีหลักฐานและเหตุผลอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ จะเอาของของคนอื่น ซึ่งมันไม่ถูก มันดูไม่แฟร์ เหมือนเราไปขโมยของของคนอื่น แต่ถ้าไม่ยึดคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะมีเจตนาที่จะยึดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และถ้ายึดแค่บางส่วนก็คิดว่ามันก็ตรวจสอบยากอยู่ดีว่าจะยึดส่วนไหน เพราะ พ.ต.ท ทักษิณ ท่านก็ทำธุรกิจและรวยมาก่อนเข้ามาเป็นนักการเมืองอยู่แล้ว"
กรณีเรื่องการยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นี้ ฝนยังได้กล่าวถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการทำงานโดยตรง อีกทั้งยังแสดงความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาให้ฟัง เช่นเดียวกับความคิดเห็นส่วนตัวของ ดารุณี กฤตบุญญาลัย ผู้เป็นแม่ ที่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาด้านการเมืองระหว่างสีเหลืองและสีแดง ว่า
"เรื่องความวุ่นวายการแบ่งสีทางการเมืองทุกวันนี้ โดยส่วนตัวเองกระทบต่อการทำธุรกิจอย่างมาก คนซื้อของน้อยลง ทุกอย่างมันดูเครียด ไม่มีบรรยากาศที่จะทำให้คนหันมาเสพสื่อบันเทิง แต่ไม่คิดว่าปัญหานี้เกิดจากการแบ่งสีนะ เพราะเรื่องนี้มันเป็นธรรมชาติของประชาชนอยู่แล้วที่รู้สึกมีความรักในสิทธิของตนและประชาธิปไตย แต่ความรุนแรงระหว่างสองฝ่ายที่เกิดขึ้น มันเพราะต่างรู้สึกว่าไม่มีความเป็นธรรม เลยต้องออกมาแสดงออก เรียกร้องกัน จริงๆไม่มีใครอยากออกมาตีกันหรอก"
ทั้งนี้ การแก้ไขที่ดีที่สุด เธอคิดว่าทั้งสองฝ่ายก็ต้องเข้าหากัน และคุยกันอย่างเป็นธรรมจะดีที่สุด ถ้าเมื่อไหร่ที่ความถูกต้องเกิดขึ้น ทุกอย่างก็จะดีขึ้นตาม
"ส่วนเรื่องคุณแม่ที่ท่านแสดงออกในเรื่องนี้ค่อนข้างชัดเจน คงต้องบอกก่อนว่าคุณแม่ฝนท่านเป็นคนชอบที่จะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแล้ว อะไรที่ท่านรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมท่านก็จะแสดงออกอย่างรงไปตรงมา ฝ่ายไหนที่มีความคิดหลายอย่างเหมือนกับท่านหรือตัวฝนเองก็ย่อมมีความรู้สึกไปในทางเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้อิงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทุกอย่างอยู่ที่ว่าฝ่ายไหนคิดเหมือนเรามากกว่า" วิรุญญา กล่าว
ส่วนความเห็นของคนในวงการบันเทิงนั้น "แมน-การิน ศตายุ" เห็นว่า วันที่ 26 ก.พ.นี้ เป็นวันวิกฤติวันหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย
"ส่วนตัวติดตามข่าวสารมาตลอด แม้ไม่ได้อยู่ข้างฝ่ายใดแต่ก็เข้าใจและรับรู้ถึงความรู้สึกของแต่ละฝ่าย เมื่อบ้านเมืองมาถึงจุดนี้อยากให้ทุกคนรักกัน และนึกถึงในหลวงให้มากๆ"
ดาราหนุ่ม ยังเผยว่าส่วนตัว ได้รับผลกระทบจากการเมืองเหมือนกัน เพราะบริษัท ธนพลคลินิก จำกัด ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ลูกค้าไม่ค่อยมั่นใจในการใช้จ่าย จึงอยากวอนให้ทุกคนสามัคคีกัน ในส่วนของคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น่าจะโดนยึดทรัพย์ทั้งหมด เพราะเห็นว่าจะไปร้องที่ศาลโลกแล้ว
มะปราง-วิรากานต์ เสณีตันติกุล กล่าวว่า ส่วนตัวได้ติดตามข่าวสารบ้าง เห็นข่าวคนไทยทะเลาะกันก็หดหู่ใจ ทุกวันนี้แค่ภัยธรรมชาติก็ทำร้ายคนไทยเยอะมากพออยู่แล้ว จะยังทำร้ายกันอีกหรือ
"เรื่องคดีความส่วนตัวไม่อยากให้ความเห็นอะไร ก็ได้แต่ภาวนาในใจ ให้วันนั้นไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ในสังคมไทยอีก" มะปราง กล่าว และว่าในวันนั้นเธอมีงานติดต่อมา แต่ไม่รับ เพราะยอมรับว่ากลัว เลยขออยู่บ้านดีกว่า
นักแสดงหนุ่มจากช่อง 3 อเล็กซ์ เรนเดลล์ กล่าวว่า "ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ ผมมีถ่ายละคร อ่านข่าวอยู่ก็หวั่นใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ไม่เข้าใจว่าสถานการณ์มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ไม่อยากให้คำว่าเป็นวันวิกฤติ อยากให้วันนั้นเป็นวันที่ทุกคนให้อภัยกัน แต่เรื่องมาถึงศาลแล้วก็อยากให้เคารพคำตัดสินของศาล"
ขณะที่ โบว์-เบญจวรรณ อาร์ตเนอร์ บอกว่า คุณพ่ออยู่เยอรมนี ติดตามข่าวสารที่เมืองไทยตลอด เห็นว่าวันที่ 26 ก.พ.นี้ จะมีเหตุการณ์แรงๆ ก็ได้โทรศัพท์มาหาทุกวันว่าจะกลับเมื่อไร ให้รีบจองตั๋ว เพราะเห็นว่าไม่น่าปลอดภัย ซึ่งในวันนั้น ตัวเองมีงานโชว์ตัวที่เมืองทองและยังมีถ่ายละครอีกหลายเรื่อง
"ที่เยอรมนีมองประเทศไทยในแง่เมืองท่องเที่ยว ที่มีรอยยิ้ม แต่ช่วง 2-3 ปีมานี้ ภาพเมืองไทยเปลี่ยนไป เพื่อนของคุณพ่อโทรมาถามบ่อยๆว่าเมืองไทยเกิดอะไรขึ้น เพราะที่เยอรมนีไม่เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ส่วนในวันตัดสินหวังว่าจะไม่เกิดเรื่องร้าย"
ทางด้าน นายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) บอสใหญ่ช่อง 3 กล่าวว่า ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ คิดว่าไม่น่าจะเกิดเรื่องร้าย ทุกฝ่ายมีเหตุผลที่จะรับฟังศาลตัดสิน เชื่อว่าคนไทยเป็นคนรับความสงบ คงไม่อยากเผชิญเรื่องเลวร้าย เรื่องเครียดๆ ปีที่ผ่านมามีการจัดเรทติ้งรายการ ซึ่งนอกจากละครแล้ว ยังมีอีกกลุ่มรายการที่เรทติ้งพ่งสูงขึ้น คือ กลุ่มรายการเบ็ดเตล็ด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าคนไทยเครียดมากขึ้นจากการเมือง
"ส่วนตัวในวันที่ 26 ก.พ.คงไม่มีเรื่องเลวร้ายอย่างที่คาดการณ์กัน คนไทยรักสันติ ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอย่าไปกังวล ซึ่งโพลจากสำนักต่างๆ ก็สำรวจออกมาให้เห็นแล้วว่ามีคนตกใจกับเรื่องนี้ไม่มากนัก" และว่าทางช่องไม่ได้มีการรับมืออะไรไว้ นอกจากทีมรายงานข่าว แต่คงไม่ได้รายงานอะไรมาก เพราะช่วงที่ศาลอ่านคำพิพากษายาวมาก เราคงตัดทอนเป็นช่วงๆ เพื่อนำเสนอมากกว่า
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
