เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เลือกตั้ง 54 บัตรเสีย 5% กลบกระแส "โหวตโน" คนหวั่นถูกแอบอ้าง จึงตัดสินใจทำบัตรเสียเพิ่ม แซงหน้าช่อง "ไม่ประสงค์ลงคะแนน"
การเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านไป หลายคนลุ้นใจจดใจจ่อ อยากเห็นโฉมหน้ารัฐบาล-ฝ่ายค้านว่าจะออกมาเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ดี ยังมีอีกกระแสที่ออกมา เรียกความสนใจจากประชาชนได้ไม่น้อย คือ กระแสโหวตโนที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโหมปั่นมาตั้งแต่ก่อนยุบสภา
ทั้งนี้ โหวตโน เป็นสิ่งที่พันธมิตรออกมาเรียกร้องให้ทำ โดยอ้างว่าจะสามารถหยุดระบอบทักษิณได้ และอ้างว่าตัวเลือกพรรคการเมืองที่มีอยู่นี้ไม่เหมาะสมที่จะเลือก ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องการทำงานและการไม่รักษาบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม แต่ไหนแต่ไรมา การกากบาทช่อง "ไม่ประสงค์จะลงคะแนน" หรือ "โหวตโน" นั้น ถือเป็นอาวุธชิ้นสำคัญของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่พยายามปฏิเสธตัวเลือกที่ไม่ดีพอ กระแสนี้เคยดีถึงขนาดนักวิชาการเดินหน้าออกมาสนับสนุนเลยทีเดียว แต่มาวันนี้บรรดาผู้ที่ปฏิเสธทั้งสองพรรคกลับมองว่า ช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนกลายสภาพเป็นเพียงอีกช่องหมายเลขที่มีไว้กาให้แก่กลุ่มพันธมิตรที่จัดตั้งพรรคการเมืองแต่กลับปฏิเสธการเลือกตั้ง
โดยหากย้อนดูการเลือกตั้งเมื่อปี 2550 จำนวนบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนแบบแบ่งเขตอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5.56 และแบบสัดส่วน อยู่ที่ร้อยละ 2.85 ขณะที่ตัวเลขบัตรเสียแบบแบ่งเขตจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.5 ในแบบสัดส่วนและร้อยละ 4.58 แต่ในครั้งนี้ บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนแบบแบ่งเขตลงมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4.04 และแบบสัดส่วน อยู่ที่ร้อยละ 2.74 ในขณะที่ตัวเลขของบัตรเสียแบบแบ่งเขตกลับพุ่งสูงขึ้นเป็นร้อยละ 5.75 เลยทีเดียว
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือ ในแบบแบ่งเขต ที่ตัวเลขบัตรเสียกลับพุ่งสูงกว่าบัตรไม่ประสงค์จะลงคะแนน โดยในแบบแบ่งเขตนั้น เป็นการสะท้อนออกที่ค่อนข้างชัดเจนว่า หลายคนไม่พอใจในตัวเลือกผู้สมัครที่พรรคส่งมาให้ และต้องการแสดงความไม่ยอมรับ แต่หากการแสดงออกโดยการไม่ประสงค์ลงคะแนน อาจจะถูกบางกลุ่มนำไปอ้างความชอบธรรม ดังนั้นคนเหล่านี้ก็เลือกจะสงวนสิทธิ์เช่นว่างเอาไว้โดยการทำเป็นบัตรเสียแทนที่จะกาประสงค์ไม่ลงคะแนนดังที่เคยทำมา เพื่อไม่ให้เจตนาที่แท้จริงของตนนำไปถูกแอบอ้าง
ทั้งนี้ วิธีคิดที่ว่านี้ ใช่ว่าจะไม่เคยถูกนำมาใช้ แต่ปรากฏขึ้นมาในการเลือกตั้งทุกครั้ง เพียงแต่มีจำนวนที่ไม่มากพอจะเป็นข้อสังเกตได้เท่านั้น แต่มาครั้งนี้กระแสมันต่างออกไป จนทำให้บัตรเสียที่มีนั้นเพิ่มมากขึ้นจนเห็นได้ชัด นอกจากนี้ รูปแบบของบัตรเสียที่ปรากฏให้เห็นมากที่สุด ไม่ใช่เพียงกาสองหมายเลข หรือ ทำเครื่องหมายอื่น ๆ แต่ยังรวมไปถึงการเขียนแสดงความเห็นลงในบัตรด้วย
และจากผลที่ออกมาเช่นนี้ ทำให้หลายฝ่ายมองว่า เป็นสิ่งที่สะท้อนภาพความล้มเหลวในความพยายามโหวตโน เพราะคนเลือกที่จะให้บัตรเสียไปแทน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก