อี๊ด-รัชฎาภรณ์ แท็กซี่แม่ลูกอ่อนยอดนักสู้ ขับไปเลี้ยงไป











เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก youtube.com โพสต์โดย  anggurnnonthasit   , รายการวีไอพี

          "รักใดเล่ารักแน่เท่าแม่รัก ผูกสมัครลูกมั่นมิหวั่นไหว
          ห่วงใดเล่าเท่าห่วงดังดวงใจ ที่แม่ให้กับลูกอยู่ทุกครา
          ยามลูกขื่นแม่ขมตรมหลายเท่า ยามลูกเศร้าแม่โศกวิโยคกว่า
          ยามลูกหายแม่ห่วงคอยดวงตา ยามลูกมาแม่หมดลดห่วงใย"

          เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินบทกลอนเช่นนี้กันมาบ้าง แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ซึ้งถึงหัวอกของคนเป็นแม่ จนกว่าจะได้เป็นแม่คนดูบ้าง เช่นเดียวกับ คุณอี๊ด-รัชฎาภรณ์ อิสระ คุณแม่ลูกอ่อน ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิต ด้วยการขับรถแท็กซี่รับจ้าง พร้อมทั้งกระเตงลูกชายที่มีร่างกายผิดปกติไปทำงานด้วย แต่เธอก็ไม่หมดหวังต่อโชคชะตา เลี้ยงดูลูกเป็นอย่างดีด้วยความรักและปรารถนาที่จะให้ลูกอยู่รอดปลอดภัย

          โดย คุณอี๊ด-รัชฎาภรณ์ อิสระ แม่ลูกอ่อนวัย 41 ปี ปัจจุบันมีอาชีพขับรถแท็กซี่รับจ้าง เธอมีเป้าหมายสูงสุดในชีวิตก็คือ การเลี้ยงน้องน้ำมนต์ เด็กชายภาสกร อิสระ ลูกชายวัย 5 ขวบให้ดีที่สุด ซึ่งน้องน้ำมนต์มีความผิดปกติทางร่างกายเนื่องจากโรคทางพันธุกรรม แม้แพทย์ผู้รักษาจะชี้ชะตาน้องน้ำมนต์ว่าจะอยู่ได้เพียงไม่นานเท่านั้น รวมทั้งเธอเองก็เป็นโรคพุ่มพวง หรือ SLE ด้วยเช่นกัน แม้จะมีปัญหารุมเร้าเข้ามาในชีวิต แต่คุณอี๊ดก็ไม่ย่อท้อ ยังคงฮึดสู้เลี้ยงลูกของเธอเรื่อยมา จนขณะนี้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน

          ทั้งนี้ คุณอี๊ด ต้องต่อสู้ชีวิต ทำงานหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่ที่เธอเรียนจบ ม.3 เท่านั้น เนื่องจากครอบครัวของเธอมีฐานะยากจน และเธอก็ไม่อยากเป็นภาระของครอบครัว จึงตัดสินใจมาหางานทำ เช่น รับจ้างขายของ งานหน้าร้านทั่ว ๆ ไป รวมถึงขายเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ผ้ามือสองตามตลาดนัด แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด จนเธอเปลี่ยนมาขับแท็กซี่จากการชักชวนของเพื่อน แม้ว่าในช่วงแรก เธอจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก เนื่องจากสมัยก่อนแท็กซี่ยังไม่มีมิเตอร์ ทำให้การคำนวณราคาตามระยะทางยากลำบาก และทำให้ขาดทุนอยู่บ่อย ๆ  แต่หลังจากที่แท็กซี่มีการติดตั้งมิเตอร์ ทำให้คุณอี๊ดหันกลับมาทำอาชีพนี้ใหม่อีกครั้ง และได้พบรักกับเพื่อนที่ขับแท็กซี่ร่วมอู่เดียวกัน จนตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน และถึงแม้ว่าเธอจะตั้งครรภ์แล้ว เธอก็ยังคงขับรถแท็กซี่ต่อไป

          จนกระทั่งก่อนคลอด 1 สัปดาห์ เกิดความผิดปกติบางอย่างในครรภ์ ทำให้เธอต้องรีบผ่าเอาเด็กออกด่วน ซึ่งภายหลังจากที่คลอดแล้ว คุณอี๊ดเห็นลูกถึงกับตกใจ เพราะเห็นลูกอยู่ในตู้ พร้อมกับสายยาง 20-30 สาย ระโยงระยางรอบตัวลูกชายของเธอเต็มไปหมด

          "แวบแรกที่ตนเห็นลูก รู้สึกตกใจมาก เพราะลูกตัวเล็กมาก จมูกเล็กนิดเดียว หูผลุบเข้าไปในหัวกะโหลก นิ้วสั้น แขนขาเหี่ยว ข้างหนึ่งมีสายออกซิเจน อีกข้างหนึ่งมีสายให้นมเด็ก แต่ความรู้สึกของตนตอนนั้น คือ อยากอุ้มลูก อยากกอดลูก และพูดกับตนเองว่า ตัวเล็กของแม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนูก็คือลูกแม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา แม่จะดูแลหนูให้ดีที่สุด"

          แม้ว่าหมอจะบอกให้คุณอี๊ดทำใจไว้ล่วงหน้าว่าลูกชายของเธอจะอยู่ได้ไม่นานเท่านั้น เนื่องจากลูกของเธอเป็นโรคทางพันธุกรรม และมีความผิดปกติเกี่ยวกับกระดูก แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทำให้คุณอี๊ดถึงกับรู้สึกท้อ ซ้ำร้าย สามีของเธอยังไม่ต้องการลูกที่พิการอีกและต้องการเอาลูกไปทิ้งไว้ที่สถานสงเคราะห์ ซึ่งตัวคุณอี๊ดก็ไม่ได้จมปลักอยู่กับปัญหา และไม่ได้เศร้าโศกต่อโชคชะตาที่กำหนดให้เธอเป็นแบบนี้ เธอยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าหาทางเลี้ยงดูลูกให้เติบโตเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ให้ได้

          หลังจากคลอดลูก เพื่อให้เธอมีเวลาเลี้ยงดูลูกและใช้เวลาอยู่กับลูกให้นานที่สุด เธอจึงกระเตงลูกขับรถรับจ้างแท็กซี่ไปด้วย โดยเลี้ยงเด็กเอาไว้ที่เบาะหน้า ซึ่งผู้โดยสารบางคนก็ใจบุญ เห็นแล้วสงสาร จึงช่วยแวะซื้อนม ขนมปัง ของเด็กเล่น ตุ๊กตา และเสื้อผ้าเด็กมาให้ด้วย ในขณะที่ผู้โดยสารบางคนก็รับไม่ได้เช่นกัน พร้อมทั้งตะโกนด่าและไล่เธออย่างหยาบคาย ซึ่งก็ทำให้เธอรู้สึกเสียใจมาก เพราะคนเหล่านั้นเหยียบย่ำซ้ำเติมต่อโชคชะตาของเธออีก

          ไม่เพียงเท่านี้ เธอยังพยายามจับลูกให้นั่ง ให้ยืน และเดินให้ได้ แม้หมอบอกว่า ไม่สามารถกระทำได้ เพราะจะทำให้ซี่โครงไปกดทับปอด และทำให้เด็กหายใจลำบาก แต่เธอก็ยังไม่หมดหวัง และฝึกลูกของเธอต่อไป จนในที่สุดน้องน้ำมนต์ก็สามารถนั่ง ยืน และเดิน แม้จะไม่คล่องมากนัก อีกทั้งยังฟังคำพูดของเธอรู้เรื่องอีกด้วย สร้างความปลื้มปีติให้กับคุณอี๊ด ผู้เป็นแม่อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แม้แต่หมอที่ทำการรักษาก็ยังต้องประหลาดใจกับพัฒนาการของน้องน้ำมนต์เป็นอย่างยิ่ง และคอยให้คำปรึกษากับคุณอี๊ดเรื่อยมาเนื่องจากเห็นความพยายามและอดทนของเธอ

          "หน้าที่ของแม่ที่เลี้ยงดูแลลูกถือว่าเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ใครก็สามารถเป็นกันได้ง่าย ๆ ซึ่งเธอได้รับสิทธิของความเป็นแม่นี้ และเธอต้องทำให้ดีที่สุด" คุณอี๊ด กล่าว

          อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้น้องน้ำมนต์จะมีพัฒนาการดีขึ้น แต่คุณอี๊ดก็ยังคงดูแลน้องน้ำมนต์อย่างใกล้ชิดเหมือนเดิม ด้วยความรักที่บริสุทธิ์ของแม่คนหนึ่ง ที่มีแต่ความรัก และความปรารถนาดีให้กับลูกโดยที่ไม่หวังสิ่งใด ๆ ตอบแทน





อี๊ด - รัชฎาภรณ์ แท็กซี่แม่ลูกอ่อนยอดนักสู้ ขับไปเลี้ยงไป





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อี๊ด-รัชฎาภรณ์ แท็กซี่แม่ลูกอ่อนยอดนักสู้ ขับไปเลี้ยงไป อัปเดตล่าสุด 17 สิงหาคม 2554 เวลา 10:17:48 59,430 อ่าน
TOP
x close