ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยพีบีเอส
ขึ้นชื่อเป็นว่า "แม่" แน่นอนว่า แม่ทุกคนจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุข ไม่ว่าจะต้องเหนื่อย ต้องลำบากแค่ไหน แต่เมื่อสิ่ง ๆ นั้นทำให้ลูกสุขสบาย ยิ้มได้ ก็ถือว่ามากพอที่ทำให้แม่สู้ต่อ ...
ตลอดเวลา 9 ปีที่ "จันดี รบชนะ" ได้เลี้ยงดู "น้ำผึ้ง" เด็กผู้หญิงวัย 9 ปี ที่เธอเรียกว่า "ลูก" ท่ามกลางเสียงต่อว่าต่อขาน และไม่เห็นด้วยของญาติ ๆ เพราะการที่เก็บ น้ำผึ้ง เด็กหญิงที่พิการทางด้านสติปัญญามาเลี้ยง เป็นการเพิ่มภาระชีวิตหาเช้ากินค่ำให้กับเธอ แต่คนเป็นแม่อย่างจันดี กลับไม่ฟังเสียงเหล่านั้น เธอกลับเลี้ยงดูประคบประหงมน้ำผึ้งเป็นอย่างดี "ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของน้ำผึ้งก็ตาม"
ชะตาฟ้าลิขิตให้ จันดี ได้พบกับน้ำผึ้ง ขณะที่เดินกลับบ้านจากการทำงานก่อสร้างที่อุทัยธานี โดยเธอเล่าถึงวินาทีแรกที่เจอน้ำผึ้งให้ฟังว่า ระหว่างที่เดินกลับบ้านอยู่นั้น เธอก็พบเด็กหญิงวัยแบเบาะถูกทิ้งอยู่ข้างทาง เธอจึงเก็บมาเลี้ยง แต่เมื่อเธอกลับไปถึงบ้าน บรรดาญาติ ๆ ที่ทราบข่าวว่าเธอเก็บเด็กมาเลี้ยง ก็ไม่เห็นด้วยและขอให้เธอทิ้งเด็กไว้ที่เดิม แต่เธอทำไม่ได้.... "คนเราจะทิ้งหมาทิ้งแมวยังคิดแล้วคิดอีก นี่ชีวิตคนทั้งคน ทำไม่ได้จริง ๆ ใครจะกล้าทำอย่างนั้นได้ลงคอ"
จันดี เล่าต่อไปว่า เมื่อเธอเลี้ยงน้ำผึ้งได้สักพักก็รู้ว่า น้ำผึ้งเป็นเด็กอ่อนแอ และไม่ปกติเหมือนคนอื่น ๆ ไปหาหมอ หมอก็ไม่ยอมตรวจ เพราะเธอไม่รู้ว่าเลยว่า น้ำผึ้งเกิดวันที่เท่าไร เกิดที่ไหนอะไรยังไง แต่กระนั้นเธอก็สู้พาน้ำผึ้งไปหาหมอที่กรุงเทพฯ แล้วก็พบว่า น้ำผึ้งมีพัฒนาการช้า เดินไม่ได้ พูดไม่ได้
หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจซบเซา งานก่อสร้างในละแวกบ้านก็ไม่ค่อยมี อีกทั้งอาชีพเสริมขายกับข้าวเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ขายไม่ได้กำไร ทำให้ร้านค้าที่เพิงหน้าบ้านต้องปิดตัวลง และจันดีก็ต้องดิ้นรนหางานทำเพื่อเลี้ยงชีวิตของคนในครอบครัว ทั้งแม่ หลาน ๆ และน้ำผึ้งลูกสาว
จันดี พาน้ำผึ้งเข้ากรุงเทพฯ มาทำงานก่อสร้างในย่านสมุทรปราการ ด้วยความเก่ง และมีความสามารถสูงกว่าคนอื่น เธอจึงได้เป็นหัวหน้าคนงานคอยคุมลูกน้อง แต่ทว่ารายได้ก็ไม่มากพอที่จะเลี้ยงปากท้องของครอบครัว เธอจึงพยายามหาช่องทางที่จะทำเงินเพิ่มด้วยการออกไปตลาดแต่เช้า เพื่อซื้ออาหาร ขนม น้ำ วัตถุดิบที่เอาไว้ทำกับข้าว มาใส่ตู้แช่ เพื่อขายให้กับเพื่อน ๆ ในไซต์งานก่อสร้าง ทำให้มีกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อซื้อขนม ซื้ออาหาร และทุกวันนี้ จันดี และน้ำผึ้ง ก็ใช้ชีวิตหาเช้ากินค่ำ มีความสุขตามประสาแม่ลูก แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะส่งเงินไปให้แม่และหลาน ๆ ที่บ้านเกิดด้วย
ภาพที่เธอแบกน้ำผึ้งขึ้นหลังเดินจากอนุสาวรีย์ ไปยังโรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นภาพที่ชินตาใครหลาย ๆ คน เพราะเธอทำเช่นนี้มาตลอด 9 ปี ... ทั้งนี้สำหรับการรักษาตัวของน้ำผึ้ง โชคดีที่ทางโรงพยาบาลได้ให้ความช่วยเหลือโดยการให้บัตรประจำตัวผู้พิการ ทำให้น้ำผึ้งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งค่ารักษา และค่ายา ซึ่งจากการเลี้ยงดูอย่างดีของจันดี ทำให้อาการของน้ำผึ้งดีขึ้นตามลำดับ จากแรกที่ดูแลตัวเองไม่ได้ ตอนนี้ก็กลับมาเดินได้ ถึงจะไม่เท่าคนปกติร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่น้ำผึ้งก็สามารถช่วยเหลือตัวเอง และแบ่งเบาภาระของจันดีได้บ้าง
และเมื่อถึงช่วงเวลาเข้าพรรษา จันดี ก็มีความตั้งใจที่กลับไปเยี่ยมแม่ เพราะอยากทำบุญกับแม่และคิดถึงหลาน ๆ เธอจึงกระเตงน้ำผึ้งขึ้นรถกลับบ้านเกิดที่ จ.อุทัยธานี พร้อมกับน้องชาย ซึ่งเมื่อไปถึงหลาน ๆ ก็เข้ามากอด เข้ามาหอมด้วยความคิดถึง ส่วนจันดีเองก็ควักกระเป๋าที่บรรจุขนมจากกรุงเทพฯ มาแจกจ่ายหลาน ๆ ได้กินกันอย่างอิ่มอร่อย ส่วนแม่ของจันดีวัย 78 ปี ก็ต้อนรับการกลับมาของเธอด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ แต่สร้างความสุขให้กับจันดีเป็นอย่างมาก
บ้านที่เธออาศัยอยู่ในปัจจุบัน เป็นที่ดินที่เพื่อนบ้านใจดีแบ่งให้อยู่ ถึงแม้ว่าบริเวณบ้านจะไม่กว้างขวางเท่าไร แต่เธอกลับใช้ประโยชน์ได้ทุกตารางนิ้ว โดยจันดีเล่าให้ฟังว่า เธอเป็นคนไม่รู้ภาษา อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ในบ้านตนมีหนังสือตามรอยพ่อหลายเล่ม เธอเลยให้หลานชายอ่านให้ฟัง แล้วเธอก็ทำตาม ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งที่ดินทำกินในบริเวณบ้าน ปลูกพืช ปลูกผักกินเอง หรือว่าการเลี้ยงปลาในบ่อเล็ก ๆ ที่พอขายได้กำไรบ้าง
ทุกวันนี้ถึงแม้จะมีหน่วยงานหลายหน่วยงานยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจันดี แต่จันดีก็ไม่ได้นั่งนิ่งรอแต่ความช่วยเหลืออย่างเดียว เธอพยายามดิ้นรนต่อสู้ ทำเพื่อความสุขของครอบครัว โดยบอกว่า... "ไม่เหนื่อยเลย ไม่รู้สึกสักนิด เห็นพวกเขากินอิ่ม นอนหลับ ความสุขก็ยิ้มได้แล้ว"
ถึงแม้ว่า น้ำผึ้ง จะโชคร้ายที่ถูกแม่แท้ ๆ ทิ้งเธอตั้งแต่แรกเกิด แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี... โชคดีที่เธอได้พบกับจันดี คนที่ไม่เคยเป็นแม่ ไม่เคยอุ้มท้อง แต่ทำหน้าที่ "แม่" ได้ดีไม่แพ้ใครเลย จริงไหม...
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก