x close

แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ รางวัลซีไรต์ 2554



แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ

จเด็จ กำจรเดช


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก สำนักพิมพ์ ผจญภัย, เฟซบุ๊ก จเด็จ กำจรเดช

         จเด็จ กำจรเดช คว้ารางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียนประจำปี 2554 จากหนังสือรวมเรื่องสั้น "แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ" โดยการพิจารณาคัดเลือกของคณะกรรมการคัดเลือกรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์)

         ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วย

         1. รองศาสตราจารย์ ยุรฉัตร บุญสนิท ประธานคณะกรรมการตัดสิน

         2. รองศาสตราจารย์ ดร.สรณัฐ ไตลังคะ นายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย

         3. นายเจน สงสมพันธุ์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย

         4. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

         5. อาจารย์ธนธัช กองทอง

         6. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธัญญา สังขพันธานนท์ นักเขียนซีไรต์ นามปากกา "ไพฑูรย์ ธัญญา" หัวหน้าภาควิชาภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

         7. นายพรชัย วิริยะประภานนท์ นักเขียน-นักวิจารณ์อิสระ นามปากกา "นรา"

         ชึ่งกรรมการทั้ง 7 ท่าน คัดเลือกจากหนังสือรวมเรื่องสั้น 7 เล่ม ที่เข้ารอบสุดท้ายมา คือ

         1. "24 เรื่องสั้นของฟ้า" ของ ฟ้า พูลวรลักษณ์

         "ที่ว่าง" และ "ระยะห่าง" คือกลวิธีสำคัญในเรื่องสั้นของ ฟ้า พูลวรลักษณ์ งานของเขามีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งในด้านวิธีคิด การใช้ตรรกะแบบนักปรัชญา และภาษาที่เรียบง่ายลงตัว แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้คือการทิ้งระยะห่าง เล่นล้อกับพื้นที่ ความว่างเปล่า ความใกล้ไกลของเวลา ตั้งคำถามกับความจริง-ลวง และการดำรงอยู่ของมนุษย์

         กล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า งานรวมเรื่องสั้นของ ฟ้า ไม่มุ่งแสวงหาความเป็นไปในวิถีทางโลก ไม่มุ่งวิพากษ์สังคมร่วมสมัยอย่างที่เป็นอยู่ แม้ทุกเรื่องจะเป็นเรื่องสั้นที่เล่าถึงมนุษย์ แต่เรากลับรู้สึกคล้ายสัมผัสจับต้องผู้คนเหล่านั้นไม่ได้ในลักษณะอาการปกติ แต่ละเรื่องจึงฉายภาพความ "อปกติ" ของมนุษย์ด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ สะท้อนถึงวิธีคิดและกระบวนการสร้างสรรค์ของผู้เขียน

         นอกจากนี้ กลวิธีการสร้างความรู้สึกว่างเปล่าเหินห่างในเล่ม ยังแสดงถึงความพยายามในการตอบคำถามเชิงอภิปรัชญาอันยิ่งใหญ่เวิ้งว้างและไร้คำตอบ โดยอิงอยู่กับปรัชญาหลายแขนง ทั้งปรัชญาจากโลกตะวันออก ปรัชญาจากโลกตะวันตก และกระทั่งปรัชญาทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซึ่งแสดงถึงคลังความรู้ภายในตัวผู้เขียน เรื่องสั้นของเขาอาจมีรสไม่คุ้นชินสำหรับผู้ที่ชื่นชอบงานเขียนตามขนบของเรื่องสั้น แต่ให้รสแปลกใหม่และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

         2. "เรื่องของเรื่อง" ของ พิเชษฐ์ศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์

         นำเสนอปัญหาของชุมชนมากกว่าการเพ่งเล็งที่ปัญหาของปัจเจกบุคคลแต่ถ่ายเดียว ผู้เขียนนำเสนอภาพชีวิตของมนุษย์ที่รวมกลุ่มกันอยู่ภายใต้โครงสร้างความสัมพันธ์ที่ถูกกำกับด้วยวัฒนธรรมท้องถิ่น ความเชื่อ ความทรงจำ และค่านิยมที่สืบต่อกันมาและไหลเวียนซึมซ่านอยู่ในชีวิตทางสังคมของเขาเหล่านั้น ทั้งนี้ ผู้เขียนได้แสดงให้เห็นว่าศรัทธาและความเชื่อเป็นพลังสำคัญที่ผลักดันความคิดและการแสดงออกของมนุษย์ โดยที่ศรัทธาและความเชื่อดังกล่าวยังเข้ามามีส่วนในกระบวนการก่อร่างอัตลักษณ์ทั้งในระดับสถาบัน ชุมชน และปัจเจกบุคคลที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ของจิตสำนึกร่วมทั้งในตัวบทและในบริบท

         ความโดดเด่นของเนื้อหาในรวมเรื่องสั้นชุดนี้ยังอยู่ที่การนำเสนอวิถีชีวิตชนบทที่ดำรงอยู่ภายใต้แรงเหวี่ยงอันผันผวนปรวนแปรของสังคมสมัยใหม่กอปรกับการกดทับของความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างคนกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม โดยชี้ให้เห็นว่าชีวิตที่ดิ้นรนและเป็นไปในชนบทมีสาเหตุจากความเชื่อและความปรารถนาของมนุษย์ที่ชวนให้มีความหวังหรืออดสูสังเวชไม่ต่างกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับเมืองใหญ่ที่พบมากในวรรณกรรมไทยในทศวรรษหลังนี้

         ในแง่ศิลปะการประพันธ์ เรื่องของเรื่อง แสดงให้เห็นศักยภาพของเรื่องเล่าในการนำเสนอความรู้สึกนึกเห็นของตัวละคร การก่อรูปของเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งอันมีฐานมาจากเรื่องเล่าเรื่องอื่น ๆ ทั้งยังนำเสนอภาพและความคิดอันกลมกลืนผ่านจังหวะของการนำเสนอที่เหมาะสม ชวนให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตามและใช้ความครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง

         3. "แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ" ของ จเด็จ กำจรเดช

         เป็นรวมเรื่องสั้น 12 เรื่อง ที่ทำให้เรามองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วยดวงตาที่เปลี่ยนไป เรื่องสั้นเหล่านี้แม้จะดูหนักหน่วงมีมิติที่ทับซ้อน มีมุมมองที่แปลกต่าง หากแต่มีความหมายอันน่าพินิจ

         นักเขียนเน้นการเล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิง อย่างซ่อนเงื่อนซ่อนปม กำกับบทบาทความคิดอย่างมีศิลปะในการเรียงร้อยและจัดวางจังหวะถ้อยคำและข้อความ เรื่องราวที่มีลีลาเชิงอุปลักษณ์ ประชดประชัน ยั่วล้อ การละเล่นกับความแปลกประหลาด ความชำรุดของสังคมและปรัชญาที่แฝงอยู่ ลงไปถึงรายละเอียดของอารมณ์มนุษย์ ภายหลังเผชิญความโศกเศร้าและหายนะ เผชิญชะตากรรมที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ภาพย่อยในเนื้อหาแต่ละเรื่อง เรียกอารมณ์ และวิธีการมองโลก กระตุ้นให้คิดตามและคิดต่อ

         กล่าวได้ว่า รวมเรื่องสั้นชุดนี้โดดเด่นด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องในแบบเฉพาะตน ฝีมือในเชิงการประพันธ์ มีสีสันในแง่ของการนำเสนอโลกทัศน์ ต่อชีวิต สังคมและโลกที่ลุ่มลึก พร้อมทั้งกลวิธีทางวรรณศิลป์ที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา เข้มข้นด้วยอารมณ์อย่างน่าสนใจ เป็นเรื่องสั้นชุดหนึ่งที่ท้าทายจิตสำนึกของคนในสังคมได้เป็นอย่างดี

         4. "กระดูกของความลวง" ของ เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

         คือรวมเรื่องสั้น 12 เรื่องที่จำลองโลกของความลวงไว้ได้อย่างมีเอกภาพ สอดคล้องกับบางถ้อยคำในบางเรื่องที่ว่า "เป็นประวัติศาสตร์มหึมาที่ประกอบด้วยความลวง" โดยตีแผ่ความเปราะบางของมนุษย์ในสังคมรอบข้างไว้หลายแง่มุม ทั้งจิตใจด้านมืดที่เต็มไปด้วยการฉกฉวยทำลาย การเมินเฉยต่อความเลวร้ายเบื้องหน้า การบิดเบือนความเป็นจริง ความโง่เขลาต่อสรรพสิ่ง และการยึดมั่นกับการมองสิ่งต่าง ๆ จากภาพลักษณ์ภายนอกมากกว่าความดีงามภายใน เพื่อสะท้อนความแปรปรวนอันน่าสะทกสะเทือน และด้วยคำถามที่ว่า "โลกเราจะสงบสุขเพียงใดหากไม่ตัดสินชีวิตผู้อื่นด้วยอคติและอวิชชาทั้งหลายทั้งปวง"

         ผู้ประพันธ์เลือกกลวิธีนำเสนอ ด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์หลากหลายรูปแบบ โดยซ่อนสัญลักษณ์ให้ตีความได้อย่างแนบเนียน และด้วยภาษากวีอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว 

         5. "นิมิตต์วิกาล" ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์

         โลกแห่งเหตุผลและตรรกะแบบวิทยาศาสตร์คือสิ่งที่ได้รับการประเมินว่าควรค่าและมีความหมายสูงสุดในการดำเนินชีวิตของมนุษย์   หากแต่เรื่องสั้นทั้งแปดเรื่องใน "นิมิตต์วิกาล" ของอนุสรณ์ ติปยานนท์ ตั้งคำถามกับโลกใบนั้นและพาเราข้ามเส้นแบ่งพรมแดนหลากมิติ  ไม่ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะเป็น ญี่ปุ่น เขมร จีน ไทย เวียดนาม ฝรั่งเศส หรืออื่น ๆ ตามการแบ่งของรัฐชาติสมัยใหม่ ไม่ว่าเขาจะเป็นพุทธ คริสต์ ชายหรือหญิง แต่วิกฤติของชีวิตเป็นสิ่งที่เกิดกับมนุษย์ทุกผู้นามโดยไม่เลือกสัญชาติ ศาสนา หรือเพศ 

         แต่ละเรื่องเล่าในปกรณัมส่วนบุคคลขยายความไปถึงปัญหาของมวลมนุษยชาติ รอยไหม้ในแผ่นหนังกวางจึงเป็นได้ทั้งประจักษ์พยานเรื่องมนุษย์เบียดเบียนสัตว์ หรือหมายถึงมนุษย์เข่นฆ่ากันเองในสงครามโลกครั้งที่สอง เฉกเช่นเดียวกับการตามหายาฉีดเพื่อรักษาเพื่อนนำไปพบสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมร หรือความเศร้าหลังการตายของแม่เร่งเร้าให้ตัวละครออกเดินทางและได้สัมผัสพลังศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าแม้ความตายจะคุกคามเบื้องหน้า กล่าวได้ว่า การเดินทางจากเรื่องส่วนตัวไปสู่การรับรู้ปัญหาของมนุษย์ร่วมโลกในดินแดนอื่นเป็นอีกหนึ่งพรมแดนที่ผู้เขียนพาผู้อ่านก้าวข้ามไป

         ลีลาการเล่าที่เริ่มต้นด้วยปัญหาในโลกแห่งความจริงเชิงประจักษ์ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยข้อมูลอันน่าเชื่อและปล่อยให้เรื่องราวไหลเคลื่อนไปสู่เรื่องเล่าที่เกินจริง ลึกลับ เพื่อไขปริศนาหรือคลี่คลายปัญหาที่รุมเร้าตัวละคร เป็นการท้าทายชุดเรื่องเล่าแนวสัจนิยมที่โดดเด่น ความเหนือจริงที่ปรากฏในเรื่องสั้นทั้งแปดเรื่องมีเพื่อยืนยันว่า เหตุผลไม่อาจเป็นเพียงเครื่องมือเดียวที่อธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่มนุษย์ประสบ ในหลาย ๆ ครั้ง การฟังเสียงของความเชื่อ และศรัทธาในโลกแห่งจิตวิญญาณอาจนำเราไปสู่คำตอบอีกชุดหนึ่งซึ่งมีความหมายต่อชีวิตมากกว่า ศูนย์กลางของเรื่องเล่า ณ แดน บูรพทิศ ความสำคัญของอดีต ความทรงจำ และการดำรงอยู่ของตำนานในโลกสมัยใหม่เพิ่มกลิ่นอายของความเป็นเรื่องเล่าแนวหลังอาณานิคมที่ท้าทายชุดเรื่องเล่ากระแสหลักในปัจจุบัน

         6. "บันไดกระจก" ของ วัฒน์ ยวงแก้ว

         รวมเรื่องสั้นชุด "บันไดกระจก" ของวัฒน์ ยวงแก้ว ประกอบด้วยเรื่องสั้นทั้งขนาดยาวและขนาดสั้นจำนวน 10 เรื่อง ทั้งหมดมีจุดเด่นที่น่าสนใจแตกต่างกันไป

         ประการแรก ผู้เขียนสามารถสร้างสรรค์เรื่องได้หลากหลายแนว เช่น แนวสร้างสรรค์ แนวแฟนตาซี แนวครอบครัว แนวจิตวิทยา บางเรื่องก็ผสมผสานระหว่างแนวที่หลากหลาย ทำให้เกิดรสชาติในการอ่านที่ไม่จำเจ ประกอบกับความสามารถของผู้เขียนในการสร้างโครงเรื่องที่ซับซ้อน เรื่องสั้นจึงมีมิติตื้น-ลึก-หนา-บางที่เร้าอารมณ์ ความรู้สึก และความสนใจของผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง

         ประการต่อมา การสร้างเรื่องในลักษณะข้างต้น สอดรับกับเนื้อหาและแนวคิดของเรื่องที่มุ่งฉายภาพสังคมทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค ทั้งในสังคมชนบท สังคมกึ่งเมืองกึ่งชนบท สังคมเมือง และสังคมไทยโดยรวม ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนซ่อนเงื่อน รวมเรื่องสั้นชุดนี้ทำหน้าที่สะกิดเตือนผู้อ่านถึงปรากฏการณ์ในชีวิตของคนและสังคม ที่ไม่อาจตัดสินชี้ถูกชี้ผิดกันอย่างง่ายๆ อันถือเป็นหน้าที่และเสียงเรียกร้องของวรรณกรรมที่ดีที่พึงมีต่อสังคม

         ประการสุดท้าย รวมเรื่องสั้นชุดนี้ แสดงให้เห็นถึงขนบวิธีของการเขียนเรื่องสั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้นขนาดสั้นหรือขนาดยาว หากนักเขียนมีความตั้งใจและความสามารถมากพอ ก็อาจสร้างเรื่องให้มีความแตกต่างจากขนบทั่วไปได้ กล่าวคือ เรามักจะคุ้นเคยกันว่าเรื่องสั้นต้องเกิดจากโครงเรื่องเดียว แต่ "บันไดกระจก" ทำให้เห็นว่านักเขียนสามารถสร้างความซับซ้อนให้กับเรื่องเล่าของตนได้ด้วยกลการวางโครงเรื่องที่ซับซ้อน สอดรับ หรือคู่ขนานกันได้อย่างเป็นระบบ

         7. "ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต" ของ จักรพันธุ์ กังวาฬ

         คำโปรยด้านหลังของหนังสือกล่าวว่าผู้เขียนเป็นทั้งนักเขียนและคนทำสารคดี รวมเรื่องสั้นเล่มนี้จึงเป็นการคลี่คลายคลังข้อมูลในงานสารคดีอันเป็น "เรื่องจริง" จนกลายมาเป็น "เรื่องแต่ง" ในรูปของเรื่องสั้นจำนวน 8 เรื่อง

         คลังข้อมูลที่หลากหลายนั้น ไม่ได้มาจากการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลเพียงอย่างเดียว ทว่ายังมาจากการครุ่นคิดถึงทั้งข้อมูลที่ได้รับจากภายนอกและอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในตัวของผู้เขียนเมื่อต้องปะทะกับข้อมูลเหล่านั้นด้วย ที่สุดจึงเกิดเป็น "เรื่องเล่า" อันทรงพลัง และหลากหลายเข้มข้นด้วยรูปแบบที่แตกต่างกันไปในแต่ละเรื่อง บางเรื่องมีลักษณะแบบสัจนิยมที่ให้รายละเอียดผสานไปกับการวิพากษ์สังคมอย่างแหลมคม พร้อมกับล้อเลียนลักษณะแบบสัจนิยมไปด้วยในตัว บางเรื่องใช้วิธีเล่าเรื่องซ้อนเรื่องเพื่อแสดงให้ผู้อ่านเห็นถึงทวิลักษณ์ทางความคิดอันขัดแย้งลักลั่น และบางเรื่องก็มีกลิ่นอายของเรื่องเหนือธรรมชาติเพื่อเชื่อมโยงเมืองกับชนบทและเครื่องจักรกับมนุษย์ แต่โดยรวมแล้ว ทุกเรื่องล้วนเป็นไปเพื่อ "สนทนา" กับผู้อ่านในประเด็นที่จริงจังของสังคม

         แม้เรื่องสั้นแต่ละเรื่องจะไม่ได้ตั้งคำถามออกมาอย่างเด่นชัด ทว่าคำถามเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ใต้เรื่องเล่าต่าง ๆ และทำให้ผู้อ่านต้องฉุกคิดและฉงนฉงายต่อความเป็นไปในสังคมรอบตัวที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องสามัญธรรมดา แต่แท้แล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

          สำหรับงานพระราชทานรางวัลซีไรต์ประจำปี 2554 (ปีที่ 33) โดย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะเสด็จพระราชทานรางวัลในวันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2554 ณ ห้องรอยัล บอลรูม โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เวลา 19.30 น.


ประวัติ จเด็จ กำจรเดช

          สำหรับประวัติของ จเด็จ กำจรเดช เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2518 ที่จ.สุราษฎร์ธานี จบการศึกษาที่วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช หลังจากจบการศึกษา ได้ทำงานเป็นช่างเขียนรูป-นักแต่งเพลง พร้อม ๆ กับเขียนหนังสือไปด้วย และยังได้แปลเรื่องสั้นของตัวเองส่วนหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษ โดยในปีพ.ศ.2551 จเด็จ กำจรเดช ได้รับรางวัล Thailand Indy Award 2008 จากผลงานรวมเรื่องสั้น (ฉบับ) ทำมือ เรื่อง "หนุมานเหยียบเมือง" มาแล้วด้วย







อ่านรายละเอียดเพิ่มเติ่มได้จาก



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ รางวัลซีไรต์ 2554 อัปเดตล่าสุด 22 กันยายน 2554 เวลา 14:09:15 44,557 อ่าน
TOP