เผยโฉมมัมมี่ยุคปัจจุบันคนแรกของโลก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก newscientist.com

          สำนักข่าวบีบีซีรายงานเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมว่า คณะแพทย์และนักโบราณคดีชาวอังกฤษ เผยโฉมมัมมี่ยุคปัจจุบันคนแรกของโลกเป็นครั้งแรก หลังทำการทดลองทำมัมมี่ด้วยวิธีเดียวกันกับชาวอียิปต์โบราณมาเป็นเวลา 10 เดือน

          โดยเจ้าของร่างมัมมี่ร่างนี้ คือ นายอลัน บิลลิส อดีตคนขับแท็กซี่วัย 61 ปี จากเมืองเดวอน ประเทศอังกฤษ ที่กลายเป็นมัมมี่ยุคปัจจุบันคนแรกของโลก หลังบริจาคร่างกายเพื่อโครงการทดลองการทำมัมมี่ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว ร่างของอลัน บิลลิส ก็ถูกส่งให้กับแพทย์และนักโบราณคดีโครงการทดลองทำมัมมี่และศพของเขาก็เข้าสู่ขั้นตอนการทำมัมมี่ในรูปแบบเดียวกับชาวอียิปต์โบราณที่ใช้ในการเก็บรักษาพระศพของ ฟาโรห์ ตุตันคามุน กษัตริย์ฟาโรห์ที่ครองราชย์ระหว่าง 1325 - 1334 ปีก่อนคริสตกาล

           สำหรับขั้นตอนการทำมัมมี่ในรูปแบบเดียวกับกษัตริย์ฟาโรห์นั้น เริ่มจากการนำอวัยวะภายในออกให้หมดแล้วนำอวัยวะเหล่านั้นไปแช่เกลือ จากนั้นก็ใส่เกลือเข้าไปในช่องว่างที่เกี่ยวอวัยวะออกมาเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียภายในร่างกาย เสร็จแล้วนำศพไปแช่เกลือ 2 สัปดาห์ แล้วนำมาล้างให้สะอาดและใช้น้ำมันทาเคลือบผิว ก่อนจะนำอวัยวะที่เกี่ยวออกมาใส่กลับเข้าไปตามเดิม จากนั้นทาขี้ผึ้งและน้ำมันหอม แล้วใช้ผ้าลินินพันทั่วร่างให้เป็นมัมมี่เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน และผลออกมาก็ทำนักโบราณคดีได้เห็นความจริงเกี่ยวกับการทำมัมมี่ได้ชัดเจนขึ้น




           ส่วนตัวนายอลัน บิลลิส มัมมี่ยุคปัจจุบันคนแรกของโลกนั้น ได้กล่าวไว้ก่อนจะเสียชีวิตว่า เขาสนใจเรื่องเกี่ยวกับมัมมี่มาก ๆ และเป็นไปได้ก็อยากจะให้ทำศพเขาเฉกเช่นมัมมี่อียิปต์โบราณอยู่แล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งนักโบราณคดีได้ออกประกาศทางหนังสือพิมพ์ว่าอยากจะได้อาสาสมัครที่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพื่อนำร่างมาทำมัมมี่ เขาจึงติดต่อไปยังนักโบราณคดีที่กำลังจะทำโครงการนี้ทันที และตกลงสัญญาจะเป็นต้นแบบในการทดลองมัมมี่ให้อย่างเต็มใจ ขณะที่ภรรยาของเขาเองก็ยินดีกับการตัดสินใจของเขา และตอนนี้ภรรยาของเขาก็พลอยภูมิใจไปด้วยที่ศพของสามีเธอถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี และมีวี่แววจะคงอยู่ไปอีกหลายพันปีถ้าหากการทดลองนี้สำเร็จ

            อย่างไรก็ดี ตอนนี้นักโบราณคดีได้อยู่ระหว่างการติดตามศึกษาโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และนี่ก็นับเป็นโครงการที่จะต้องใช้เวลาพิสูจน์กันนานที่สุดเลยทีเดียว