บุกค่ายมวย บัวขาว ป.ประมุข ฮีโร่ขวัญใจชาวไทย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก รายการตีท้ายครัว
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดย CiNNtv1

          ชื่อของ "บัวขาว ป.ประมุข" นักมวยชาวไทยคนนี้ ไม่เพียงแค่ชาวไทยที่จะชื่นชอบ และปลาบปลื้มในฝีไม้ลายมือ การต่อสู้ระดับขั้นเทพของเขาเท่านั้น เพราะตอนนี้ชื่อเสียงของ "บัวขาว" ดังไกลไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่บรรดาสาว ๆ ต่างพากันหลงใหล ต่อแถวกันสมัครเป็นแฟนคลับของบัวขาวกันอย่างล้นหลามเลยทีเดียว!

         และในวันนี้กระปุกดอทคอม ก็ขอพาเพื่อน ๆ ไปชมค่ายมวย ป.ประมุข และชีวิตความเป็นอยู่ของนักมวยคนเก่งคนนี้ในรายการ ตีท้ายครัว (29 มกราคม) เราไปดูกันซิว่า แชมป์โลกอย่างเขาจะมีชีวิตประจำวันอย่างไร และซ้อมหนักขนาดไหนถึงมาเป็น "บัวขาว ป.ประมุข" นักมวยที่ถูกจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งในขณะนี้...

          บัวขาว ป.ประมุข เรียกได้ว่า เป็นนักมวยคนไทยที่มีราคาค่าตัวมากที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ เพราะเพียงแค่เขาขึ้นชกบนเวที เขาก็ได้รับค่าตัวเหนาะ ๆ 1 ล้านบาทแล้ว โดยบัวขาว บอกว่า ขึ้นสังเวียนครั้งหนึ่ง ก็จะได้ 1 ล้านบาท แต่ตนก็แบ่งคนละครึ่งกับทางค่าย ถึงแม้ว่าใครจะบอกว่าตนแบ่งเยอะเกินไป แต่ตนคิดว่า ค่ายเป็นคนฝึกตนมา และสร้างตนจนเป็นบัวขาวทุกวันนี้...

         ส่วนบรรยากาศภายในค่ายมวย ป.ประมุข ที่บัวขาวสังกัดอยู่ ก็เหมือนค่ายมวยทั่ว ๆ ไป ชีวิตการเป็นอยู่ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่ว่าจะเป็นการกินการนอน โดยบัวขาว กล่าวว่า ถึงแม้ตนจะเป็นแชมป์โลก สร้างรายได้ให้กับค่ายเป็นเม็ดเงินจำนวนมาก แต่ตนก็ยังต้องซ้อมหนักเหมือนเพื่อนนักมวยคนอื่น ไม่ได้รับสิทธิพิเศษใด ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการทำกับข้าว เวรล้างจาน หรือแม้แต่การซักเสื้อผ้า ซึ่งตนก็ต้องทำเองตามตารางเวรตลอด



         เมื่อพิธีกรถามว่า ขึ้นชกแต่ละครั้งได้เงินมากมาย แต่ทำไมบัวขาวถึงไม่ซื้อบ้านอยู่สบาย ๆ บ้าง ด้านบัวขาวตอบว่า ตนไม่รู้จะซื้อบ้านอะไรใหญ่โตมากมาย เพราะคนเรานอนก็นอนแค่นี้ (ชี้ที่เตียงเดี่ยว) สร้างใหญ่ขนาดไหนก็นอนเท่าเดิม...

         ส่วนตารางชีวิตของบัวขาวก็จะเหมือนเดิมทุก ๆ วัน โดยเทรนเนอร์อย่าง ร้อยโท ธีรวัฒน์ กล่าวว่า ตอนเช้าบัวขาว จะตื่นตี 5 ครึ่ง ตื่นมาตนก็จะให้บัวขาวอาบน้ำแล้วทานข้าวเช้าเลย และเมนูที่บัวขาวต้องกินเพื่อสร้างพลังงานนั้นก็คือพวกขนมปัง และชีส พอทานเสร็จบัวขาวก็จะต้องวิ่งให้ครบ 12 รอบ จากนั้นก็ออกกำลังกายกับกระสอบทราย ดัมเบล หรืออุปกรณ์ออกกำลังกายที่ไม่เหมือนใครสั่งทำพิเศษมาเฉพาะอย่างเช่น ลูกบาสหนัก 7 กิโลกรัม เพื่อบริหารแขนในท่าเหวี่ยง ตุ้มเหล็กหนัก 15 กิโลกรัม เพื่อบริหารคอ เป็นต้น


         บัวขาว กล่าวต่อว่า ถึงจะเห็นตนแข็งแรงอย่างนี้ และไม่เคยน็อกกลางอากาศ แต่ตนก็เคยเจ็บหนักถึงขนาดฉี่เป็นเลือดเลยทีเดียว ต้องพักฟื้นนานเป็นเดือน ๆ ทั้งนี้เพราะสภาพร่างกายภายนอกของตนนั้นแข็งแรงรับได้ แต่สภาพข้างในมันก็ช้ำได้เหมือนกัน ซึ่งตอนนั้นที่ตนเจ็บเป็นเพราะว่า ตนขึ้นชกติด ๆ กัน 3 สังเวียน มันเหมือนเหนื่อยสะสม แต่ถึงอย่างนั้นตนก็คว้าแชมป์มาได้สำเร็จ (ยิ้ม)

        เมื่อถามถึงเส้นทางการเป็นนักมวย เค-วัน เวิลด์แมกซ์ ของบัวขาว ที่ทำให้ชื่อเสียงบัวขาวดังกระฉ่อนไกลไปทั่วโลก เจ้าตัวบอกว่า ตอนนั้นมีโอกาสชกในรายการ ๆ หนึ่ง ติด 1 ในแปด และจากนั้นก็คว้าแชมป์มาได้ พอดีมีคนจากเวที เค-วัน เห็นหน่วยก้านตนใช้ได้ ก็เลยติดต่อให้ขึ้นชก ซึ่งตอนนั้นตนก็ไม่คิดว่า เค-วัน จะเป็นรายการที่ใหญ่ขนาดนี้ สำหรับความแตกต่างระหว่างมวย เค-วัน กับมวยไทยนั้น ต่างกันตรงที่ มวย k1 ห้ามใช้ศอก นอกนั้นกฎกติกาก็เหมือนกันหมด ถ้าถามว่า เวทีไหนที่ตนภูมิใจที่สุด ก็คงเป็นการแข่งขันในปี 2004 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ตนอยู่นอกสายตาทุกคน ตอนนั้นมีคู่ชกเป็นฝรั่ง เดินมามีแต่คนขอถ่ายรูป แต่กับตนไม่มีเลย ในใจตนก็รู้สึกน้อยใจ แล้วคิดว่าจะเอาชนะให้ได้ และก็เป็นดังที่ตนคิด เพราะตนสามารถเอาชนะนักมวยคนนั้นได้อย่างสวยงาม และชื่อของบัวขาวก็กลายเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ตอนนั้น โดยเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่น


         สำหรับชื่อเสียงของบัวขาว ป.ประมุข ในดินแดนอาทิตย์อุทัยนั้น ต้องบอกว่าเป็นหนุ่มฮอตมาก ๆ ถึงกับขนาดมีสาว ๆ ตั้งใจเรียนภาษาไทยและส่งจดหมายมาหาเลยล่ะ โดยยอดนักชกรายนี้ เล่าให้ฟังว่า ตนก็ไม่คิดว่าจะเป็นที่นิยมขนาดนี้ ในประเทศญี่ปุ่นตนดังมาก มีหนังสือมาขอถ่ายแบบ ขอสัมภาษณ์ตนหลายเล่ม นอกจากนี้ยังมีแฟนคลับมาตามเชียร์มากมาย ทั้งผู้หญิง และเด็ก ๆ ในส่วนของเด็ก ๆ นั้นเขาจะชอบท่าไหว้ครูของตนมาก เวลาตนขึ้นเวทีเขารู้เลยว่า ท่าต่อไปตนจะทำท่าอะไรต่อ ซึ่งทำให้ตนภูมิใจกับศิลปะการไหว้ครูเป็นอย่างยิ่ง ส่วนสาว ๆ ญี่ปุ่น ก็มีมาเคาะห้องบ้าง ขอจับมือบ้าง...




       ด้านเทรนเนอร์ส่วนตัว เล่าเสริมว่า ไม่เพียงแค่เคาะห้องแล้วขอจับมือเท่านั้น เวลาที่บัวขาวเปิดห้องมา น้องเขายืนเกร็งตัวสั่น พอบัวขาวเข้าไปถามว่าเขาเป็นอะไร ถือขนาดพูดไม่ออกไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น "เหงื่อ" ของบัวขาว ก็กลายเป็นของมีค่า เพราะมีสาว ๆ เอาผ้าเช็ดหน้าไปซับเหงื่อ แล้วบีบเหงื่อใส่ขวดเอาไปขายต่อไป 4-5 พันบาท!!

       ทางด้านพิธีกรเลยถามว่า แล้วอย่างนี้บัวขาวไม่หลงรักสาวญี่ปุ่นแฟนคลับบ้างหรือ บัวขาวตอบว่า ตนชอบผู้หญิงไทยมากกว่า เพราะคุยรู้เรื่องมากกว่าสาวญี่ปุ่น พิธีกรจึงถามต่อว่า แล้วมีคนคุยด้วยหรือยัง? บัวขาวก็ตอบแบบเขิน ๆ ว่า ตอนนี้มีคนคุยด้วยแล้ว (ยิ้ม)

        เมื่อถามว่า ต่อไปนี้เส้นทางนักมวยของบัวขาวจะเป็นอย่างไร เพราะส่วนมากนักมวยเมื่ออายุประมาณ 27-28 ก็จะแขวนนวมกันแล้ว โดยบัวขาวกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ตอนนี้ตนอายุ 30 แล้ว ซึ่งก็ถือว่าเยอะสำหรับอาชีพนี้ แต่บรรดาแฟน ๆ ขอร้องว่ายังไม่ให้หยุด ซึ่งตนก็คิดว่ายังแข็งแรงพอที่จะชกต่อได้ ถ้าถามว่ามีลูกศิษย์มาให้สอนหรือยัง ก็มีมาถามไถ่อยากให้ตนไปสอนบ้าง แต่ตนยังไม่รับสอนตอนนี้

        ท้ายนี้ บัวขาว ป.ประมุข ได้กล่าวถึงการชกมวยว่า ใครหลายคนอาจจะมองว่า กีฬาชนิดนี้เป็นกีฬาที่อันตราย ไม่กล้าให้ลูก ๆ มาเรียน แต่ตนอยากจะบอกว่า ถ้าเรามีร่างกายที่แข็งแรง และมีความพร้อม ไม่ว่ากีฬาอะไรเราก็สามารถฝึกได้อย่างแน่นอน และตนอยากจะบอกว่า หมัดมวยไทยนั้น  เป็นอาวุธที่เจ๋งไม่แพ้อาวุธใด ๆ ในโลก ... (ยิ้ม)

         นอกจากนี้ เทรนเนอร์ประจำตัวยังกระซิบบอกกับทางรายการอีกว่า "บัวขาว ป.ประมุข" กำลังจะได้เป็นบัณฑิตคนใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยได้รับปริญญาตรีกิตติมศักดิ์ ที่ทางมหาวิทยาลัยได้พิจารณามอบให้ เนื่องจากบัวขาวได้สอนทักษะการต่อยมวย รวมไปถึงเป็นวิทยากรในการสัมมนาต่าง ๆ ด้วย

         เอ้า!... งานนี้ก็ขอแสดงความยินล่วงหน้ากับว่าที่บัณฑิตด้วยนะคะ ส่วนใครที่เป็นแฟนคลับ "บัวขาว ป.ประมุข" คงจะทราบถึงแง่คิด และความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของเขากันแล้ว ขอบอกเลยว่า เป็นผู้ชายที่เก่ง และน่ารักสมกับเป็นขวัญใจของใครหลาย ๆ คนจริง ๆ เลย :)