บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมสร้างประวัติศาสตร์ กวาด 4 แชมป์





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

          ถือเป็นเรื่องพลิกล็อกทีเดียว เมื่อสโมสรฟุตบอล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ไปสร้างชื่อกระฉ่อนทั่วเอเชีย ด้วยการเอาชนะทีมแชมป์จากญี่ปุ่น คาชิว่า เรย์โซล 3-2 และ แชมป์จากจีน คือ กวางโจว เอเวอร์แกรนด์ 2-1 ในการแข่งขันฟุตบอลรายการเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลสโมสรระดับทวีป ทั้ง ๆ ที่ชื่อชั้นทีมจากไทยสู้ทีมจากญี่ปุ่นและจีนไม่ได้ แต่เมื่อแข่งขันจริงกลับสามารถเอาชนะคู่แข่งขัน สร้างความสุขให้แก่แฟนฟุตบอลชาวไทย ซึ่งเรื่องนี้ คนที่สมควรได้รับเครดิตเต็ม ๆ นั่นคือ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
 
          หลายคนคงสงสัยว่า เนวิน ชิดชอบเข้ามาในวงการฟุตบอลและสโมสรบุรีรัมย์ได้อย่างไร วันนี้ทางกระปุกดอทคอมจะเขียนเกี่ยวกับสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดครับ
 
          เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ในปี พ.ศ.2553 เนวิน ชิดชอบ ต้องการที่จะมีสโมสรฟุตบอลมาเล่นให้จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดของเขา 1 ทีมด้วยกัน จึงได้ติดต่อทีมฟุตบอลที่เป็นองค์กรให้มาเล่นด้วย เช่น สโมสรฟุตบอลตำรวจ สโมสรฟุตบอลทหารบก หรือสโมสรฟุตบอลทีโอที เป็นต้น แต่สุดท้ายกลับลงเอยที่ สโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยได้ร่วมหุ้นส่วนกับบุรีรัมย์ และย้ายสนามเหย้าจากอยุธยามาที่บุรีรัมย์แทน และเปลี่ยนชื่อทีมเป็นบุรีรัมย์-พีอีเอ (บุรีรัมย์-กฟผ.)
 
          อย่างไรก็ตาม ทางบุรีรัมย์ก็ได้สร้างสโมสรฟุตบอลอีก 1 สโมสร คือ บุรีรัมย์ เอฟซี มีนางกรุณา ชิดชอบ ภรรยาเนวิน เป็นประธานสโมสร โดยเริ่มการแข่งขันในลีกระดับต่ำสุด ซึ่งก็มีแฟนบอลในโซเชียล เน็ตเวิร์ก วิเคราะห์กันว่า การที่สร้างทีมนี้ขึ้นมา เป็นการป้องกันการที่บุรีรัมย์-พีอีเอ จะหมดสัญญา ในปี พ.ศ.2555 ซึ่งถ้าหลังจากหมดสัญญา ทาง กฟผ. กับ บุรีรัมย์ สิทธิ์ของทีม กฟผ. อาจจะย้ายไปที่อื่นก็ได้ จะทำให้ไม่มีสโมสรฟุตบอลในบุรีรัมย์เล่นอยู่ในไทยพรีเมียร์ลีก ดังนั้นต้องรีบปั้นทีมอีก 1 ทีมขึ้นมา และทำให้เลื่อนชั้นสู่ไทยพรีเมียร์ลีกให้ทันตอนหมดสัญญา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องเลื่อนชั้นให้ได้ 2 ปีติดต่อกัน ถึงจะได้เล่นในไทยพรีเมียร์ลีกได้



          เนวิน ชิดชอบ ต้องการให้บุรีรัมย์-พีอีเอ เป็นสโมสรฟุตบอลชั้นนำในประเทศไทย จึงจัดการระบบต่าง ๆ ของสโมสรให้เป็นมืออาชีพ เช่น การทำสัญญานักฟุตบอล การประชาสัมพันธ์ เป็นต้น พร้อมกับสร้างสนามแห่งใหม่ นิว ไอ-โมบาย สเตเดียม ที่มีความจุถึง 24,000 คน ใช้งบประมาณกว่า 400 ล้านบาท แล้วเปิดใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2554
 
          ผลงานของบุรีรัมย์ พีอีเอ ในปีแรก คือฤดูกาล 2553 (2010) คือ คว้ารองแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก และรองแชมป์โตโยต้า ลีก คัพ ส่วนในปีต่อมาคือ ฤดูกาล 2554 (2011) ถือได้ว่าเป็นปีทองของบุรีรัมย์-พีอีเอก็ว่าได้ เมื่อสามารถคว้าแชมป์รายการหลัก 3 รายการ คือ แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก แชมป์ไทยคม เอฟเอ คัพ และแชมป์โตโยต้า ลีก คัพ ได้สำเร็จ
 
          สำหรับไทยพรีเมียร์ลีก บุรีรัมย์ พีอีเอ มีสถิติที่สวยหรู คือ แข่ง 34 นัด ชนะ 26 เสมอ 7 แพ้ 1 ทิ้งห่างอันดับสองอย่างชลบุรี เอฟซี ถึง 16 คะแนนด้วยกัน ส่วนผลงานในไทยคม เอฟเอ คัพ ก็สามารถเอาชนะ เมืองทอง ยูไนเต็ด 1-0 และโตโยต้า ลีก คัพ เอาชนะการท่าเรือ 2-0 ด้วยกัน
 
          นอกจากนี้ บุรีรัมย์ พีอีเอ ยังสามารถคว้าแชมป์รายการรอง รวมเป็นแชมป์ที่ 4 ในฤดูกาล 2554 ได้อีกหนึ่งรายการคือ แชมป์ โตโยต้า พรีเมียร์ คัพ ที่เป็นการนำแชมป์โตโยต้า ลีก คัพ พบกับทีมอันดับ 4 จากเจลีก คือ เวลกัลตะ เซนได ผลปรากฎว่า บุรีรัมย์ พีอีเอ ชนะ ดวลจุดโทษ 4-2 จากการเสมอในเวลา 1-1
 
          เท่านั้นยังไม่พอ บุรีรัมย์ พีอีเอ เกือบบวกแชมป์ที่ 5 ให้ตัวเอง ในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ถ้วย ก. ที่นำแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกกับแชมป์ไทยคม เอฟเอ คัพมาแข่งกัน ทว่าบุรีรัมย์ พีอีเอ เป็นแชมป์ทั้งสองรายการ จึงนำรองแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก คือ ชลบุรี เอฟซี มาแข่งแทน ผลปรากฎว่า บุรีรัมย์ พีอีเอ แพ้ ชลบุรี เอฟซี ในการดวลจุดโทษ 6-5 หลังจากเสมอในเวลา 2-2 ดับความฝัน 5 แชมป์บุรีรัมย์สนิท
 

          บุรีรัมย์ พีอีเอ แม้จะคว้าแชมป์ได้อย่างราบรื่น แต่จริง ๆ ในช่วงปลายฤดูกาล 2554 กลับมีปัญหาภายในสโมสรขึ้นมาเสียเอง นั่นคือ หุ้นส่วนระหว่างบุรีรัมย์กับการไฟฟ้ากำลังจะหมดลง ดังนั้น บุรีรัมย์อาจจะต้องคืนสิทธิ์ทีมให้แก่การไฟฟ้า ซึ่งอาจจะไม่ต่อสัญญากับบุรีรัมย์ และจะย้ายไปเล่นที่จังหวัดอื่นแทน เหตุผลที่หลายฝ่ายคาดการณ์กัน เป็นเหตุผลด้านการเมือง เนื่องจากช่วงที่เซ็นสัญญาเป็นช่วงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ แต่ช่วงที่จะหมดสัญญาเป็นช่วงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งทางเนวินกับพรรคเพื่อไทยก็อยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน
 
          โชคดีที่ ทีมบุรีรัมย์ เอฟซี ที่สร้างใหม่ สามารถคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ในฤดูกาล 2554 ได้ ทำให้ฤดูกาล 2555 (2012) ได้รับสิทธิ์ขึ้นมาเล่นไทยพรีเมียร์ลีก ทำให้เนวิน ชิดชอบ อาจจะคืนสิทธิ์ให้การไฟฟ้าไป แต่นักเตะทั้งหมดก็จะอยู่กับเนวิน และย้ายไปบุรีรัมย์ เอฟซี
 
          สุดท้ายเนวิน ชิดชอบ ตัดสินใจ ซื้อหุ้นการไฟฟ้าที่เหลืออยู่ราว 30 เปอร์เซ็นต์ทั้งหมด ปิดตำนาน ทีมฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมกับ เปลี่ยนชื่อทีมจาก บุรีรัมย์-พีอีเอ เป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ส่วนทีมบุรีรัมย์ เอฟซี ก็ขายสิทธิ์ให้จังหวัดอื่น เปลี่ยนชื่อทีมเป็น วัวชน ยูไนเต็ด และย้ายไปเล่นที่จังหวัดสงขลา
 
          ฤดูกาล 2555 เริ่มต้นขึ้น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้สิทธิ์ไปเล่นฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยรอบแบ่งกลุ่ม ถือว่าอยู่กลุ่มโหดทีเดียว เพราะอยู่ร่วมสายกับ คาชิว่า เรย์โซล แชมป์จากญี่ปุ่น, กวางโจว เอเวอร์แกรนด์ แชมป์จากจีน และชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ แชมป์จากเกาหลีใต้
 

          ผลงาน 2 นัดแรกของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชมป์จากไทย ก็เป็นไปตามที่เกริ่นนำเอาไว้ ตอนนี้ก็ขอกล่าวถึงเรื่องนักเตะกันบ้าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีอภิเชษฐ์ พุฒตาล เป็นกัปตันทีม และมีสุเชาว์ นุชนุ่ม กองกลางทีมชาติไทย เป็นรองกัปตันทีม
 


          ด้านนักเตะชื่อดังที่คุ้นหูกันดี หรือคนไทยเรียกว่า 2 แฟร้งค์ นั่นคือ แฟร้งค์ อาเชมปง กองหน้าจากกาน่า และ แฟร้งค์ โอฮานด์ซ่า กองหน้าจากแคเมอรูน ซึ่งฤดูกาลที่ผ่านมาก็คว้าดาวซัลโวฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวน 19 ประตูด้วยกัน
 


          ปิดท้ายด้วยหัวหน้าผู้ฝึกสอน คือ นายอรรถพล บุษปาคม หรือ เรียกกันติดปากว่า โค้ชแต๊ก
 
          และนี่ก็คือประวัติของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดอย่างคร่าว ๆ ที่หวังว่า ผู้อ่านจะรู้จักกับทีมนี้มากขึ้น และร่วมเอาใจช่วยเชียร์บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตัวแทนจากประเทศไทย ในการแข่งขันฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ที่ในนัดต่อไป จะเปิดบ้านพบกับ ชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ จากเกาหลีใต้ ในวันที่ 4 เมษายนนี้

 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมสร้างประวัติศาสตร์ กวาด 4 แชมป์ อัปเดตล่าสุด 27 มีนาคม 2555 เวลา 13:16:45 31,309 อ่าน
TOP
x close