นายเบอร์โทลด์ วีสเนอร์
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก humanities-institute.usf.edu
เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล ของอังกฤษ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่ง ได้กลายมาเป็นคุณพ่อของเด็กกว่า 600 คน หลังจากที่มีการค้นพบว่า คลินิกรับรักษาผู้ประสบปัญหาการมีบุตรยากแห่งหนึ่ง ที่สัญญาว่าจะใช้อสุจิจากคลังอสุจิ แต่กลับใช้อสุจิของนักวิทยาศาสตร์คนนี้แทน
ทั้งนี้ นายเบอร์โทลด์ วีสเนอร์ นักชีววิทยา ได้บริจาคอสุจิให้กับผู้ชายที่เป็นหมันหรือมีลูกยาก ซึ่งเป็นคนทุกชนชั้น ตั้งแต่คนรวยไปจนถึงคนจน ต่อมา นางแมรี่ บาร์ตัน ภรรยาของเขาและเจ้าของคลินิก ได้ทำลายหลักฐานทางการแพทย์ หมายความว่า ผู้หญิงจำนวนมากที่รับอสุจิของนายวีสเนอร์ และเด็กอีกจำนวนหลายร้อยคน อาจจะไม่รู้ว่าครอบครัวของตัวเองมาจากไหน และสายเลือดของตนมาจากใคร
อย่างไรก็ตาม ชายสองคนที่เคยเข้ารับการผสมเชื้ออสุจิ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดขึ้นระหว่างปี 1940 ถึงกลางปี 1960 นั้น ได้ค้นคว้าและพบว่า 2 ใน 3 ของอสุจิที่มีการบริจาคในช่วงเวลานั้น เป็นของนายวีสเนอร์ทั้งหมด ทำให้นายเดวิด โกเเลนซ์ อาชีพทนายความ หนึ่งในลูกชายที่เกิดจากการผสมอสุจิของนายวีสเนอร์ ได้ประมาณการว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวที่นายวีสเนอร์บริจาคเชื้ออสุจิไปประมาณ 20 ครั้งต่อปี ทำให้นายวีสเนอร์อาจกลายเป็นคุณพ่อที่มีลูกกว่า 300-600 คน
นอกจากนี้ นายโกเเลนซ์ ยังได้ค้นพบขณะที่เขาอายุ 12 ขวบ ว่า เขาเกิดจากการบริจาคอสุจิ แต่ไม่มีใครบอกเขาถึงเรื่องพ่อที่บริจาคอสุจินั้นเป็นใคร จากนั้น เขาจึงมาค้นพบความจริงผ่านการทดสอบดีเอ็นเอ และได้ติดต่อไปหาคนอีกกว่า 11 คน ที่เชื่อว่าเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน รวมถึงนายแบร์รี่ สตีเวนส์ นักถ่ายทำสารคดี ที่ไปค้นพบคลินิกดังกล่าว ซึ่งนายโกเเลนซ์เอง กล่าวว่า เขาเองรู้สึกสับสนเกี่ยวกับประวัติครอบครัวอันสุดแสนพิสดารนี้
นายแบร์รี่ สตีเวนส์
ด้านคลินิกรับรักษาผู้ประสบปัญหาการมีบุตรยาก ที่มีชื่อว่า บาร์ตัน บรู๊ด ตั้งอยู่แถบพอร์ทแลนด์ เพลซ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เชื่อกันว่า คลินิกแห่งนี้ได้ช่วยให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ไปแล้วกว่า 1,500 คน ซึ่งในการผสมเทียมแต่ละครั้ง จะมีค่าใช้จ่ายที่สูง หมายความว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นคนระดับชนชั้นกลางขึ้นไป แต่ที่นี่ยังอ้างว่า ได้ช่วยเหลือคนที่มีฐานะร่ำรวยให้สมหวังมีบุตรดังต้องการอีกด้วย โดยคลินิกแห่งนี้ ได้ขอรับบริจาคอสุจิจากครอบครัวของเพื่อน แต่เนื่องจากผู้บริจาคอสุจิมีน้อย จึงอาจทำให้นายวีสเนอร์เองนั้น บริจาคอสุจิส่วนใหญ่ให้กับทางคลินิก
นอกจากนี้ ในปี 2007 ยังมีการตรวจหาดีเอ็นเอของเด็กที่เกิดจากคลินิกแห่งนี้ ในช่วงระหว่างปี 1943-1962 จำนวน 18 คน พบว่า เด็กกว่า 12 คน หรือ 2 ใน 3 เป็นลูกของนายวีสเนอร์ และทำให้นายโกเเลนซ์ ออกมาตั้งรณรงค์ให้เปิดเผยตัวของผู้บริจาคอสุจิ และขอให้ในใบสูจิบัตรนั้น ลงชื่อของผู้บริจาคอสุจิและไข่อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นายวีสเนอร์ ได้เสียชีวิตเมื่อปี 1972 ด้วยวัย 70 ปี และภรรยาของเขา เสียชีวิตเมื่อ 11 ปีที่แล้ว
