x close

ความฝัน และความมุ่งมั่น ของนักปั่นผู้พิชิตทิเบต


ความฝัน และความมุ่งมั่น ของนักปั่นผู้พิชิตทิเบต

ความฝัน และความมุ่งมั่น ของนักปั่นผู้พิชิตทิเบต


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร โพสต์โดย คุณ LadyBimbettes สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

            เพราะความรักในการเดินทาง ทำให้ โอ๊ต กิตติพงษ์ กองแก้ว หรือที่หลายคนเรียกว่า "โอ๊ตนนท์" นักปั่นจักรยานวัย 31 ปี ตัดสินใจปั่นสองล้อคู่ใจไปไกลถึงทิเบต และสามารถพิชิตหลังคาโลกได้สำเร็จ ตั้งแต่นั้นมา โอ๊ตก็เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะคนเขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวชีวิต และการเดินทางพิชิตฝันอันยิ่งใหญ่ของเขา

            หลายคนที่ได้รู้จักโอ๊ตผ่านตัวหนังสือ อาจจะมองว่าการปั่นจักรยานพิชิตหลังคาโลกคงเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของชายวัย 31 ปีผู้นี้ แต่จริง ๆ แล้ว โอ๊ตยังมีความฝันอีกอย่าง นั่นก็คือการปั่นจักรยานพ่วงพาพ่อวัยชราไปเที่ยวที่จังหวัดกระบี่ด้วยกัน ซึ่งโอกาสที่เขาจะพิชิตฝันครั้งนี้ไม่ได้เข้ามาบ่อยนัก เพราะปกติแล้ว ชีวิตส่วนใหญ่ของโอ๊ตอยู่กับการเปิดร้านซ่อมจักรยานที่ทิเบต และได้กลับเมืองไทยมาเจอครอบครัวเพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น นั่นหมายความว่า ในช่วงที่เขากลับมาในปีนี้ คือโอกาสเดียวที่โอ๊ตจะขอตามความฝันของตัวเอง

            และนี่คือเรื่องราวชีวิตอีกมุมหนึ่งของยอดนักปั่นจักรยานคนนี้ที่ถูกตีแผ่ ในรายการชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ตอน ภารกิจพิชิตฝัน ออกอากาศเมื่อวันอังคารที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส...

            "แรกเริ่มเลยคือตั้งใจจะพาพ่อไปเที่ยว พ่อก็ถามทุกวันว่าจะได้ไปไหม รถเมื่อไหร่จะเสร็จ ผมก็ถามว่าพ่อจะไปไหวเหรอ มันร้อนนะ ไกลนะ แต่พ่อบอกว่าไหว เมื่อพ่อพูดอย่างนี้ เราก็จัดให้" โอ๊ต บอกพร้อมกับลงมือต่อเติมจักรยานพ่วง เพื่อจะพาพ่อซึ่งขาไม่ค่อยมีแรงไปเที่ยวกระบี่

            เมื่อการต่อเติมจักรยานเสร็จสิ้นเป็นรูปเป็นร่าง การเดินทางเพื่อตามความฝันของพ่อและโอ๊ตก็เริ่มต้นขึ้น ซึ่งก็มีคณะและรถยนต์คอยติดตามคอยตามสองพ่อลูกไปด้วยเพื่อความปลอดภัย ตลอดระยะทาง 800 กิโลเมตร ซึ่งโอ๊ตตั้งใจไว้ว่าจะใช้เวลาเดินทางราว ๆ 5 วัน

ความฝัน และความมุ่งมั่น ของนักปั่นผู้พิชิตทิเบต

            อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว และถนนบางช่วงค่อนข้างขรุขระ ทำให้โอ๊ตไม่สามารถปั่นจักรยานลากรถพ่วงของพ่อไปได้ตลอดเส้นทาง เพราะเกรงว่ารถพ่วงจะพังเสียก่อน จึงได้ให้พ่อขึ้นรถยนต์ที่ปิดท้ายขบวนเป็นช่วง ๆ สลับกับการนั่งรถพ่วง และลงเรือ จนในที่สุด เขาก็พาพ่อมาเที่ยวจังหวัดกระบี่ได้สมใจปรารถนาที่เขาอยากเห็นพ่อมีความสุข และรู้ว่าโอกาสที่จะทำให้พ่อเช่นนี้มีไม่มาก จึงอยากจะทำให้ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ

            โอ๊ต รู้ดีว่า ด้วยอาการป่วยของพ่อที่มีความผิดปกติในเส้นเลือดสมอง ทำให้มีนิสัยเหมือนเด็ก ๆ และร้องไห้ เมื่อได้รับความกระทบกระเทือนใจ จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด แต่เขาไม่สามารถมีเวลาให้พ่อได้ตลอดทั้งปี ดังนั้น ในช่วงเวลาที่โอ๊ต ไม่อยู่บ้าน "อนุรักษ์ กองแก้ว" หรือ เอ๊ะ พี่ชายต่างสายเลือดของโอ๊ต วัย 36 ปี จะเป็นผู้คอยดูแลพ่อแทนโอ๊ต ซึ่งเขาก็พอมีรายได้พอเลี้ยงครอบครัวได้จากการเปิดแผงให้เช่าพระ

            ฐานะทางบ้านของโอ๊ตไม่สู้ดีนัก เพราะก่อนหน้านี้ บ้านของโอ๊ตถูกไฟไหม้หมดจนสิ้นเนื้อประดาตัว เขาและครอบครัวจึงต้องออกมาเช่าบ้านหลังเล็ก ๆ แถวท่าพระอยู่ แต่ถึงแม้บ้านของเขาจะไม่มั่งมีด้วยเงินทองมากมาย แต่กลับเต็มไปด้วยความสุขเล็ก ๆ ที่คนในครอบครัวเติมเต็มให้แก่กันตลอดมา อย่างเช่นเมื่อพ่อเห็นว่าโอ๊ตรักการเดินทาง จึงให้ เอ๊ะ นำฟันของพ่อที่หลุดไปเลี่ยมใส่กรอบเป็นเครื่องรางของขลังให้โอ๊ตพกติดตัวไว้ เพื่อคุ้มครองลูกชาย ซึ่งโอ๊ตก็พกเครื่องรางชิ้นนี้ติดตัวตลอดเวลา

            อย่างไรก็ตาม นอกจากโอ๊ตจะคอยดูแลพ่อที่ท่าพระแล้ว ในช่วงสายของทุก ๆ วันที่เขาอยู่ในเมืองไทย โอ๊ตจะต้องปั่นจักรยานไปกลับกว่า 40 กิโลเมตร เพื่อไปเยี่ยมแม่ที่จังหวัดนนทบุรีอีกด้วย ซึ่งพ่อกับแม่ของเขาแยกทางกันตั้งแต่โอ๊ตยังเด็ก แต่โอ๊ตก็ยังปรารถนาให้ครอบครัวได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง

            แม่แสงทองของโอ๊ต บอกว่า ในช่วงแรก ๆ ที่โอ๊ตบอกว่าจะไปทำกิจการที่ต่างประเทศ เขาไม่ได้บอกว่าจะไปทำอะไร จนมาบอกทีหลัง ซึ่งเธอก็ทำได้แต่รอให้ลูกกลับมา

            "บางครั้งก็น้อยใจ น้อยใจไปอย่างนั้นแหละ ตัวก็เป็นห่วง ทุกวันนี้ยังไม่เข้าใจเลยว่า ตัวเขารักจักรยาน หรือรักแม่มากกว่า" แม่แสงทอง ตัดพ้อเล็ก ๆ และบอกอีกว่า ในช่วงแรก ๆ ที่ลูกไปทิเบตก็คิดถึงจนเครียด แต่เดี๋ยวนี้ไม่เครียดแล้ว

            เมื่อเวลาในแต่ละวันผ่านไป นั่นหมายความช่วงเวลาที่โอ๊ตจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยน้อยลงเรื่อย ๆ โอ๊ตพยายามใช้เวลานี้ เพื่ออยู่กับครอบครัวให้ได้มากที่สุด เขาตัดสินใจพาพ่อและพี่ชายไปนั่งทานอาหารญี่ปุ่น ซึ่งโอ๊ตรู้ดีว่า แม้ว่าตัวเขาเองจะมีเงินไม่มากนัก แต่ก็อยากเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดี ๆ ที่มีความสุขเอาไว้ในความทรงจำ ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับไปทิเบต

ความฝัน และความมุ่งมั่น ของนักปั่นผู้พิชิตทิเบต

            นอกเหนือจากการใช้เวลาอยู่กับครอบครัวแล้ว เวลาอีกส่วนหนึ่งของโอ๊ต ยังนำไปใช้ปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับจักรยาน เช่น การปั่นจักรยานไปเยี่ยมเยียนเพื่อนที่เคยปั่นจักรยานเป็นอาสากู้ชีพด้วยกัน รวมทั้งเข้าร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่มชมรมนักปั่นจักรยานต่าง ๆ รวมทั้งกิจกรรมเพื่อสังคม โดยโอ๊ตจะเป็นคนขี่รถปิดท้ายขบวน และคอยซ่อมรถจักรยานของพรรคพวกที่ชำรุดเสียหายระหว่างการเดินทาง ก่อเกิดเป็นมิตรภาพใหม่ ๆ ที่มีจักรยานอันเป็นที่รักของทุกคนเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์

            โอ๊ต บอกว่า ในสังคมของคนที่ขี่จักรยาน แม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกัน แต่บางครั้ง แค่คนขี่รถจักรยานสวนกันแล้วเห็นหน้า ก็สามารถโบกมือทักทายกันได้อย่างสนิทใจราวกับรู้จักกันมาก่อน ซึ่งนี่คือมิตรภาพดี ๆ ที่หาได้ไม่ยากจากคนรักสองล้อเหมือนกัน

            "ที่ผ่านมาผมทำอะไรไม่ค่อยสำเร็จ บอกตามตรงเหมือนมีอุปสรรคตลอดเวลา แต่ว่า ถ้ามันท้อ มันก็ไม่สำเร็จตลอดไป ก็ต้องทำให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ สักวันมันต้องสำเร็จ ต้องมีความตั้งใจ" โอ๊ต พูดอย่างมุ่งมั่น

ความฝัน และความมุ่งมั่น ของนักปั่นผู้พิชิตทิเบต

            และเมื่อวันเวลาผ่านไป ถึงวันสุดท้ายที่โอ๊ตจะได้อยู่ในเมืองไทย โอ๊ตบอกตัวเองว่า ในปีหน้าที่โอ๊ตจะกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง จะต้องซ่อมรถจักรยานคันเล็ก ๆ ที่ซ่อมค้างไว้อยู่ให้เสร็จ เพื่อจะได้ให้เด็ก ๆ แถวบ้านไว้ใช้ และเขาก็ตั้งใจจะซ่อมรถขายของเก่าที่เขาขอซื้อต่อมาในราคา 200 บาท มาสร้างรถพ่วงให้พ่อได้ใช้ปั่นแบบสบาย ๆ

            โอ๊ตตั้งปณิธานให้ตัวเองพร้อมกับเก็บข้าวของใส่กระเป๋าสะพายคู่ใจ และเดินไปร่ำลาพ่อที่ต้องจากกันไกลอีกครั้ง ตัวพ่อเองก็รู้สึกใจหายและเสียใจไม่น้อยที่จะไม่ได้เจอหน้าลูกชายคนนี้อีกร่วมปี แต่ก็ปล่อยลูกชายไปตามความฝัน ขณะที่พี่ชายก็บอกให้โอ๊ตรักษาตัวให้ดี และส่งข่าวคราวกลับมาที่บ้านบ้าง

            เมื่อเสร็จสิ้นการอำลา โอ๊ตกับจักรยานคู่ใจก็มุ่งหน้าไปยังสนามบิน การไปทิเบตครั้งนี้ของโอ๊ต เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่โอ๊ตบอกกับตัวเองว่า เมื่อกลับมาเมืองไทยปีหน้า เขาจะต้องมีเงินสักก้อนกลับมาเพื่อตั้งตัวให้จงได้...








เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ความฝัน และความมุ่งมั่น ของนักปั่นผู้พิชิตทิเบต โพสต์เมื่อ 4 กรกฎาคม 2555 เวลา 15:15:37 2,598 อ่าน
TOP