เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเจาะข่าวเด่น โพสต์โดย คุณ LadyBimbettes สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
คนขับรถแท็กซี่ที่ถูกจับผิดตัวในคดีชิงทรัพย์-ข่มขืน ออกมาเปิดใจว่า ไม่ติดใจเอาความใคร แต่อยากให้เป็นบทเรียนว่าอย่าตัดสินใคร หากไม่มั่นใจว่าใช่คนกระทำผิดหรือไม่
จากกรณีคนขับรถแท็กซี่ตกเป็นแพะรับบาปในคดีชิงทรัพย์-ข่มขืน และต้องถูกจำคุกถึง 9 วัน เนื่องจากผู้เสียหายชี้ตัวยืนยันว่ากระทำผิด แต่ภายหลังสามารถจับกุมคนร้ายตัวจริง ทำให้ทราบว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นนั้น ล่าสุด รายการ เจาะข่าวเด่น (19 กรกฎาคม) ได้สัมภาษณ์ นายชรินทร์ ช้ำเกตุ อายุ 35 ปี คนขับแท็กซี่โชคร้ายที่โดนจับผิดตัว โดยนายชรินทร์ กล่าวว่า ตนมีอาชีพหลัก คือ เป็นพนักงานโรงแรม ตำแหน่งคอมพิวเตอร์ธุรการ ของโรงแรมในสุขุมวิท ซอย 5 มานานกว่า 11 ปีแล้ว ซึ่งภรรยาก็ทำงานอยู่ที่เดียวกัน
หลังเลิกงานตนจะออกไปขับรถแท็กซี่เพื่อหารายได้พิเศษ ในช่วงเวลาตั้งแต่ 17.00 – 22.00 น. ซึ่งตนได้ดาวน์รถแท็กซี่ เลขทะเบียน มจ 621 คันนี้มาประมาณ 4 เดือน ก่อนถูกจับกุมตนอยู่ระหว่างการขับรถพาเจ้านายเดินทางไปยังจังหวัดชัยนาท ขณะนั้นได้มีโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่สน.ลาดกระบัง ติดต่อมาว่า รถของตนก่อเหตุอยู่ในพื้นที่ สน.ลาดกระบัง ซึ่งยอมรับว่าตอนนั้นตกใจมาก แต่เมื่อโทรไปสอบถามแม่ และถาม รปภ.หมู่บ้าน ก็พบว่ารถยังจอดอยู่ที่เดิม ส่วนตนก็มีหลักฐานคือภาพจากกล้องวงจรปิดว่าตนได้เล่นสนุ๊กอยู่ที่โต๊ะสนุ๊กแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยนาท ตนจึงคิดว่ารถคันที่ก่อเหตุไม่น่าจะใช่รถของตน และอาจจะมีการจำเลขทะเบียนผิด
ต่อมา ตนได้เดินทางไปแสดงความบริสุทธิ์ใจที่ สน.ลาดกระบัง ซึ่งขณะนั้นเจ้านายของตนติดภารกิจ จึงได้ทำหนังสือยืนยันว่าตนไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ ในตอนที่เกิดเหตุแนบมาเป็นหลักฐาน แต่ชีวิตตนก็เปลี่ยนไปเมื่อมีการชี้ตัว เมื่อผู้เสียหายทั้ง 7 คน ต่างก็ชี้ว่า ตนเป็นผู้กระทำผิด จากนั้นก็ได้มีการแถลงข่าวเกิดขึ้น ทำให้ตนคิดว่าหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เพราะทะเบียนรถ มจ 621 ก็เป็นชื่อตน แถมคดีนี้ยังมีทั้งการชิงทรัพย์ และข่มขืน ซึ่งถือเป็นคดีใหญ่ร้ายแรง แม้ตนพยายามชี้แจงไปว่าไม่ได้ทำ แต่ก็ไม่มีใครฟัง ตนจึงตกเป็นผู้ต้องหาไป โดยไม่สามารถทำอะไรได้
จากนั้นตนต้องอยู่ในห้องขัง 2 วัน ก่อนถูกนำไปฝากขังในเรือนจำมีนบุรี อีก 7 วัน รวมเป็น 9 วัน ซึ่งตอนนั้นไม่มีหนทางอะไรเลย เพราะตนอยู่ในเรือนจำไม่สามารถติดต่อใครได้ จะรู้ข่าวว่าเขาทำอะไรไปบ้าง ก็ต่อเมื่อมีญาติ ๆ มาเยี่ยม โดยพี่ชายและเพื่อนสนิทตนก็พยายามเดินเรื่องเพื่อช่วยเหลือ ด้วยการไปนำภาพจากกล้องวงจรปิด และนำเอกสารยืนยันมายื่นที่ สน.ลาดกระบัง ว่าในวันเกิดเหตุตนไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯ จริง ๆ จากนั้นเมื่อทาง สน.ลาดกระบัง พิจารณาเรื่องแล้วจึงได้ทำเรื่องปล่อยตัว โดยตนไม่ทราบว่าที่ปล่อยตัวนั้น เป็นผลมาจากการจับคนร้ายตัวจริงได้หรือไม่
ทั้งนี้ ในระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ ตนคิดถึงแต่แม่ ลูก และภรรยามาก จนต้องร้องไห้แทบทุกวัน ตนมีลูกชาย 2 คน ลูกคนเล็กอายุ 1 ขวบ กับอีก 4 เดือน คนโตอายุประมาณ 5 ขวบ ตอนแรกที่อยู่ในคุก เมื่อตนคิดว่าไม่มีโอกาสรอดออกมาแล้ว ตนจึงฝากภรรยาว่า ช่วยดูแลแม่ กับลูก และให้รอตนด้วย เผื่อสักวันตนจะได้มีโอกาสออกไปจากคุก ซึ่งภรรยาก็พยายามปลอบใจว่า ตนไม่ได้ทำ ยังไงสวรรค์ก็ต้องช่วย ตนจึงรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตนคิดสั้นว่า ถ้าต้องติดคุกตลอดชีวิตสู้ฆ่าตัวตายไปเลยดีกว่า เพราะอยู่ในนั้นก็ต้องใช้เงิน ตนจึงไม่อยากอยู่เป็นภาระคนอื่น
สิ่งที่ตนติดใจ คือ ทำไมผู้เสียหายทุกคน ต้องชี้ว่าตนเป็นคนร้าย หรือเพราะคืนก่อนวันชี้ตัว มีการปริ๊นท์รูปตนจากทะเบียนราษฎร์เพื่อนำไปเสนอข่าว ทำให้คนชี้ตัวอาจจำภาพจากตรงนั้น ซึ่งตอนที่อยู่ในคุก สิ่งที่ตนต้องการคือ การได้กลับมาอยู่กับครอบครัว ตอนนี้ตนจึงไม่ได้ติดใจอะไร ไม่ได้ต้องการฟ้องร้องเอาความกับเจ้าหน้าที่ หรือผู้เสียหาย ที่ตนไม่โกรธแค้นใคร เพราะตนคิดว่านี่อาจเป็นเคราะห์กรรมก็ได้ สิ่งที่อยากฝากถึงทุกคนคือ เวลาขึ้นรถแท็กซี่ขอให้จำเลขทะเบียนรถ จำชื่อ และจำหน้าตาคนขับรถให้ชัดเจน เพราะหากผู้เสียหายตัดสินใครโดยที่ไม่แน่ใจแล้ว มันอาจเป็นการทำลายชีวิตของคนทั้งคน และหากยังไม่มีการจับตัวคนร้ายตัวจริงได้ ป่านนี้ตนก็คงยังไม่ได้ออกจากคุก
อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปตนจะเลิกอาชีพขับรถแท็กซี่ตลอดชีวิต เพราะที่ผ่านมา ก็มีผู้โดยสาร คนเฒ่า คนแก่ เตือนมาเหมือนกันว่าขับรถดึก ๆ ให้ระวัง ตนเลยตัดสินใจเลิกอาชีพนี้ เพราะมันค่อนข้างเสี่ยง ส่วนรถแท็กซี่ของตนนั้น ขณะนี้ได้ติดต่อเพื่อขายรถแล้ว
คลิป ชะตากรรม แท็กซี่แพะ : เครดิต รายการเจาะข่าวเด่น โพสต์โดย คุณ LadyBimbettes สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม