
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ tiiGCB สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
เมื่อคืนวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา รายการตีสิบ ทางช่อง 3 ได้นำเสนอเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่มีชีวิตที่น่าเศร้า โดยผู้ชายคนนี้ไม่รู้เลยว่าตัวเองมีชื่อจริง นามสกุลจริงอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองอายุเท่าไหร่ เกิดวันเดือนปีอะไร อยู่จังหวัดไหน พ่อแม่คือใคร สิ่งที่เขารู้เพียงอย่างเดียวก็คือ ชื่อเล่นที่ถูกเรียกว่า "บอย" และเพราะความไม่รู้อะไรเลยก็ทำให้ "บอย" กลายเป็นคนไร้ตัวตน ไร้สัญชาติ หรือที่ใคร ๆ อาจมองได้ว่าเป็น "คนเถื่อน"
ทั้งนี้ คุณบอย ได้เปิดใจเล่าชีวิตของตัวเองให้ฟังในรายการตีสิบ ว่า ตั้งแต่จำความได้ก็คือ มีพ่อและแม่ที่เลี้ยงดูเขามาแต่เด็ก แต่ก็ไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง แม้แต่อายุของตัวเอง เขาก็ยังไม่ทราบ จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ มีคนบอกว่า เขาอายุ 6 - 7 ขวบแล้ว เขาก็เลยจำตัวเลขนั้นมา แล้วแต่ละปีก็บวกมาเรื่อย ๆ เชื่อว่า ตอนนี้ก็น่าจะอายุ 27 - 28 ปีแล้ว
บอย เล่าอีกว่า ชีวิตในวัยเด็กของเขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีแต่ขอทาน โดยตอนอายุประมาณ 5 - 6 ขวบ เขาอาศัยอยู่ในหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และถูกพาไปขอทาน โดยมีคนป้อนข้อมูลให้เขาจำว่า หากมีคนมาถามว่า ทำไมถึงมาขอทาน ก็ให้บอกไปว่า พ่อถูกจับ แม่ท้อง ส่วนน้องอีก 2 คนที่บ้านก็ไม่สบาย ไม่มีเงินมารักษา เขาจึงต้องออกมาขอทานหาเงินไปช่วยเหลือครอบครัว โดยทุก ๆ วัน จะมีคนพาตัวบอยและเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนไปส่งขอทานตามหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งก็ได้รับความสงสารจากชาวบ้านจึงได้เงินมาเล็ก ๆ น้อย ๆ

ในครอบครัวขอทานของบอยมีพี่น้องอยู่ 5 คน และจะมีพี่สาวคนโตคอยจัดน้อง ๆ ให้ไปขอทานตามที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า บอย เล่าว่า เป็นความกดดันอย่างมาก เพราะหากวันไหนได้เงินน้อยก็จะถูกตีอย่างหนัก แต่ถ้าวันไหนได้มากหน่อย พ่อแม่ก็พูดดีด้วย โดยมากที่สุดที่เคยได้ก็คือวันละ 1,400 - 1,500 บาท ซึ่งเขารู้สึกน้อยใจชีวิตตัวเองมาก เพราะถูกตีมากกว่าคนอื่น แถมยังไม่มีโอกาสได้เล่น หรือเรียนหนังสือเหมือนเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันด้วย
บอย เล่าด้วยน้ำตาว่า บางครั้งก็รู้สึกอยากกอดพ่อแม่เหมือนครอบครัวอื่น ๆ แต่พ่อแม่ก็ไม่เคยกอดเขาเลยสักครั้ง แม้แต่จะกินข้าว เขาก็ต้องหากินเอง ไม่ได้มานั่งใกล้พ่อแม่ คนที่คอยดูแลเขากลับเป็นผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้างที่ทำให้เขารู้สึกสนิทใจด้วยมากกว่า

และที่ทำให้ บอย เชื่อว่า พ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ แน่นอน เพราะพ่อแม่สองคนนี้ตีเขารุนแรงอยู่บ่อยครั้ง ชนิดที่ว่าพ่อแม่ไม่น่าจะตีลูกมากขนาดนี้ อีกทั้ง บอย ยังเคยเห็นกับตาว่า พ่อไปขโมยเด็กทารกจากบ้านอื่นมาขายต่อให้ขอทานด้วยกัน ทำให้เขาเชื่อว่า ตัวเองก็คงถูกพรากมาจากอกแม่แท้ ๆ ไม่ต่างจากเด็กคนอื่น ๆ
เมื่อเวลาผ่านไป เด็กหลายคนที่อยู่มาด้วยกันก็เริ่มหนีจากพ่อแม่ไปหมดแล้ว เพราะทนถูกทำร้ายไม่ไหว เหลือบอยเพียงคนเดียวที่ยังอยู่กับพ่อแม่กำมะลอ ซึ่งทำให้เขากดดันอย่างหนัก เพราะต้องหาเงินเพียงลำพัง หากได้น้อยก็ถูกตีอย่างหนัก ในที่สุด บอย ในวัยประมาณ 9 ขวบ จึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะหนีจากครอบครัวขอทานให้ได้ โดยจุดหมายปลายทางคือ กรุงเทพมหานคร
จากการเป็นขอทานมาตลอดหลายปี ทำให้ บอย ได้รู้จักกับคนขับรถบรรทุกหลายคน ทำให้ บอย ตัดสินใจขอโดยสารรถบรรทุกเข้ามาสู่โลกใบใหม่ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งที่นี่ บอย ได้พบกับคนขายปลาหมึกย่างที่รู้สึกสงสารชีวิตของบอย จึงให้ที่กิน ที่อยู่ พร้อมกับให้เงินเดือนละ 600 บาท แลกกับการช่วยขายปลาหมึก และพ่อค้าปลาหมึกก็ยังช่วยปกป้องเขาจากแก๊งขอทานที่ตามมาเจอ

ในเวลาต่อมา บอย ได้เข้ามารับจ้างปรบมือตามรายการโทรทัศน์ ซึ่งก็ทำให้เขาได้พบกับ โหน่ง ชะชะช่า จึงเข้าไปฝากเนื้อฝากตัว เพราะอยากเล่นตลก พี่โหน่งรู้สึกสงสารจึงช่วยเหลือให้เข้าไปเป็นเด็กยกของอยู่ในคณะ ต่อมาคณะของพี่โหน่งยุบไป เขาก็ได้ไปอยู่กับคณะตลกอื่น ๆ อีกหลายคณะ จนมีโอกาสได้ตั้งทีมตลกเล็ก ๆ ของตัวเอง แต่ช่วงหลังมานี้ ธุรกิจคาเฟ่ซบเซา ทำให้เขาต้องหางานที่เป็นหลักเป็นแหล่งทำเสริมไปด้วย
บอย บอกว่า ปัจจุบันเขาก็ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ยังเป็นคนไร้สัญชาติ แม้เขาจะเกิดที่ประเทศไทยก็ตาม โดยสมัยที่ยังเล่นตลก เขาเคยกลับไปที่หาดใหญ่ เพื่อตามหาพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเอง แต่เพราะไม่มีเอกสารหลักฐานอะไรเลย จึงคว้าน้ำเหลวทุกครั้ง ซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว คิดว่าไม่เจอก็คงไม่เป็นไร

แต่ทว่า ณ วันนี้ บอย ไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกแล้ว เพราะปัจจุบันเขาแต่งงานมีภรรยา และกำลังจะมีลูกแล้ว ซึ่งวันที่ลูกคลอดออกมา เขาก็คงไม่สามารถเซ็นชื่อรับรองบุตรได้ เพราะเขาไม่มีบัตรประชาชนนั่นเอง ดังนั้น เขาจึงต้องการตามหาพ่อแม่ที่แท้จริง เพื่อพิสูจน์ว่าเขาเป็นใคร
"ถ้าเกิดท่านใดเป็นพ่อแม่ผม ช่วยตามหาผมทีครับ อนาคต อายุผมเริ่มเลยไปเรื่อย ๆ อย่างน้อย ๆ ถ้าท่านยังไม่เป็นไร ยังตามหา ยังต้องการเจอหน้าลูกคนนี้ มาหาผมหน่อยครับ ผมอยากรู้ความจริง ผมคือใคร ช่วยผมที ขอบคุณครับ..." บอย กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ทั้งนี้ รายการตีสิบก็ได้เชิญ คุณดลจิตร์ เสรีรักษ์ หัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานเขตบางขุนเทียน มาไขความกระจ่างเรื่องการมีบัตรประจำตัวประชาชน ว่า การจะมีบัตรประชาชนได้นั้นต้องเป็นคนสัญชาติไทย และต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน สำหรับกรณีของ บอย ยังไม่มีชื่อในทะเบียนบ้านเลย ถือเป็นคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ไม่มีสถานะทางทะเบียน เพราะพิสูจน์ตัวบุคคลไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อปี พ.ศ. 2548 ทางกระทรวงมหาดไทยได้เริ่มให้ท้องถิ่นต่าง ๆ สำรวจบุคคลภายในชุมชนว่ามีใครที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนบ้าง โดยให้บุคคลนั้นมาลงทะเบียนไว้ที่สำนักงานเขต และจะได้รับรหัสประจำตัว เพื่อรอการพิสูจน์บุคคลต่อไป
ส่วนเรื่องการรับรองบุตรนั้น คุณดลจิตร์ ชี้แจงว่า หาก บอย ไปขึ้นทะเบียนเป็นบุคคลไม่มีสถานะ และได้รับรหัสประจำตัวมาแล้ว ก็สามารถรับรองบุตรได้ เช่นเดียวกับเรื่องสิทธิในการรักษาพยาบาลที่ บอย สามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ในโรงพยาบาลของรัฐที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ การที่ บอย ได้มาเล่าเรื่องผ่านรายการตีสิบครั้งนี้ ก็ทำให้เขามีความหวังที่จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นคนไทยมากขึ้น เพราะเขาเชื่ออยู่ลึก ๆ ว่า เรื่องราวของเขาน่าจะไปถึงหูครอบครัวที่เคยถูกขอทานขโมยเด็กไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน และหากพิสูจน์ได้ เขาก็จะได้ลบคำว่า "คนเถื่อน" ออกจากตัวเอง และเปลี่ยนสถานะเป็น "คนไทย" อย่างเต็มตัวเสียที






