เจสซี่ เด็กน้อยยอดกตัญญู กับชีวิตที่ขอลิขิตเอง










เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ทีวีบูรพา

          ภาพของหญิงวัยกลางคนจูงเด็กน้อยลูกครึ่งหน้าตาน่ารัก ถือตะกร้าใส่ขนมเค้กเร่ขายนักท่องเที่ยวตามชายหาดแม่รำพึง จังหวัดระยอง คงจะเป็นภาพที่ชินตาของผู้คนแถวนั้น แต่หลายคนที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกอาจจะรู้สึกแปลกใจว่า เด็กน้อยคนนี้เป็นใครกัน เพราะหน้าตา ผิวพรรณ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส บวกกับอัธยาศัยไมตรีที่ชวนให้คนเอ็นดู อาจทำให้หลายคนมองว่า เขาน่าเกิดมาบนกองเงินกองทองเหมือนเด็กลูกครึ่งคนอื่น ๆ หากแต่สิ่งที่คิดเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับชีวิตจริงของเด็กชายคนนี้...

          ชีวิตของ เจสซี่ เครเมอร์ หรือ เจสซี่ ภาคิน เครเมอร์ หนุ่มน้อยลูกครึ่งเยอรมัน -ไทย วัย 12 ปี ต้องเปลี่ยนไป เมื่อแม่ชาวไทยตัดสินใจหย่ากับพ่อชาวเยอรมัน และพาตัวเขากลับมาอยู่ที่เมืองไทย ตั้งแต่มีอายุเพียง 7 ขวบ โดยที่ผู้เป็นพ่อส่งเสียเงินทองมาช่วยครอบครัวใน 2-3 ปีแรกเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป พ่อก็เริ่มเพิกเฉย สุดท้ายแล้ว แม่นก-อภิสรา ฉัตรทอง จึงตัดสินใจหาเงินเข้าบ้านด้วยลำแข้งของตัวเอง

          "2-3 ปีแรกที่มาอยู่เมืองไทย พ่อเขาก็ช่วยส่งเดือนละหมื่นบ้าง หมื่นสองบ้าง ตอนหลังก็ไม่ส่ง เราก็บอกลูกว่าไม่ต้องโทรไปขอเงินแล้ว เพราะเขาไม่เต็มใจให้ เรามาหาเงินของเราเองดีกว่า ก็บอกลูกว่าต้องเหนื่อยหน่อยนะ คงไม่มีเวลาไปเล่นเหมือนเด็กคนอื่น เขาก็เข้าใจ เต็มที่ดี ถือว่าเราได้ลูกดี เพราะครอบครัวพ่อเขามองเราเป็นภาระ" แม่นก บอก

          ในขณะที่เพื่อน ๆ วัยเดียวกัน มีเวลาว่างได้ไปเที่ยว เล่นกีฬา ในช่วงหลังเลิกเรียน หรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แต่สำหรับ เจสซี่ เขาจะใช้เวลาว่างช่วงนั้นช่วยแม่ทำงานทุกอย่างที่พอจะหาเงินเข้าบ้านได้ แต่หลายกิจการก็ต้องเจ๊งอย่างไม่เป็นท่า สุดท้ายแล้ว แม่นกจึงตัดสินใจจูงมือลูกชายไปเดินขายขนมเค้กตามชายหาดด้วยกัน ซึ่งอัธยาศัยที่น่ารัก และความสุภาพอ่อนน้อมของเด็กชายตัวน้อย ก็ทำให้นักท่องเที่ยวที่พบเห็นช่วยซื้อขนมเค้กติดไม้ติดมืออยู่บ่อย ๆ

        อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายขนมเพียงอย่างเดียวไม่อาจเพียงพอที่จะเลี้ยงดูชีวิตสองแม่ลูก และจ่ายค่าเทอมได้ แม่นกจึงต้องดิ้นรนด้วยการไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต สุดท้ายแล้วหนี้ก็ยิ่งพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ ต้องหาเงินให้ได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นบาท เพื่อใช้หนี้ในระบบ และหนี้รายเดือนอีกนับแสน สองแม่ลูกจึงพยายามทุกทางเพื่อหาทางออก แต่ก็มิวายถูกหลอกยืมเงินไปบ้าง พลาดพลั้งไปก็หลายหนจนเกือบท้อ แต่พวกเขาก็พยายามให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อจะก้าวผ่านอุปสรรคต่อไปให้ได้ แม้มันจะเป็นเรื่องที่ดูหนักหนาสำหรับเด็กอายุเพียงเท่านี้ก็ตามที








          ถามว่า เจสซี่ เหนื่อยบ้างไหมที่ต้องมาทำงานไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ ร่วมห้อง เด็กน้อยไม่ได้ประดิษฐ์คำพูดให้สวยหรู เพื่อตอบคำถามนี้...

          "เหนื่อยครับ แต่ต้องอดทน เพราะเราไม่มีเงิน แล้วเป็นการทำมาหากินโดยสุจริตครับ เราทำได้ ก็ขายมา 3-4 ปีแล้วครับ ตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทยตอน 7 ขวบ ตอนนี้เจสก็อายุ 12 ขวบแล้ว แต่ยังเรียนอยู่ชั้น ป.5" เจสซี่ ตอบ และเล่าให้ฟังด้วยว่า เพื่อนร่วมห้องมักเรียกเขาว่า "ไอ้ฝรั่งดอง" แต่เขาก็ไม่โกรธ เพราะรู้ว่า เพื่อนรักดอกจึงหยอกเล่น

          โชคดีที่ เจสซี่ เป็นเด็กดี รักแม่ แถมยังหัวไวด้วย เขาบอกว่า วิชาที่เขาชอบเรียนมากที่สุดก็คือ คอมพิวเตอร์ นั่นทำให้เมื่อ 2 ปีก่อน เจสซี่ ได้เข้าไปเป็นลูกมือหัดซ่อม หัดลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ร้านอินเทอร์เน็ต เมื่อเก็บเกี่ยวความรู้มาได้พอสมควร เขาก็ได้ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติม จนมีความรู้ระดับหนึ่งแล้ว เด็กน้อยก็เลยเดินขายขนมเค้กพร้อม ๆ กับงานพิเศษ คือ การรับซ่อม และลงโปรแกรมโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือแม้แต่ประกอบคอมพิวเตอร์ เด็กวัย 12 ปี ก็ทำได้อย่างช่ำชองในราคาย่อมเยา

          "ชอบมากเลยครับเวลาไปเดินตามศูนย์ไอที แม้จะไม่มีเงินซื้อ แต่แค่ไปดูว่ามันพัฒนาไปยังไงก็มีความสุขแล้ว เวลาไปซื้อของกับแม่ เจสจะแอบแวบเข้าไปดูร้านไอทีตลอด กลับมาบ้านก็ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ไอดอลทางไอทีในดวงใจก็คือ สตีฟ จ็อบส์ แต่เจสเป็น "สตีฟ จ๊อบแจ๊บ" ครับ (หัวเราะ) เจสชื่นชอบผลงานเขามาก เขาเก่งด้านการออกแบบ คัดสรรฮาร์ดแวร์ และการพัฒนาโอเอส เขาคิดค้นเองหมดแล้วสั่งให้ลูกน้องประกอบ มีครั้งหนึ่งเจือสีอุปกรณ์อ่อนเกินไป เขาสั่งรื้อใหม่เลยแม้จะขาดทุน แต่ฟ้าหลังฝนก็สดใส เพราะขายดีมาก..." เจสซี่ เล่าด้วยสายตาเป็นประกาย ก่อนจะสาธยายความรู้เรื่องเทคโนโลยีให้ฟัง พร้อมกับแย้มอาชีพที่ใฝ่ฝันในอนาคตว่า โตขึ้นจะเป็น "โปรแกรมเมอร์" ให้ได้ และจะเรียนต่อให้ถึงปริญญาเอกในต่างประเทศเลย

         ความรักดีของ เจสซี่ ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณแม่นกที่สอนลูกชายมาอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องความดีที่แม่นกเน้นย้ำกับลูกชายเป็นพิเศษ รวมทั้งเรื่องการทำงานที่แม่นกย้ำเสมอว่า "คนเราต้องทำงาน ขนาดไก่ยังออกหากินเลย" ซึ่งคำสอนต่าง ๆ ของแม่นกก็อยู่ในใจของเจสซี่เสมอมา และวันนี้ เจสซี่ ก็ได้บอกความในใจที่มีต่อแม่ด้วยว่า

          "เจสรักแม่ยิ่งกว่าจักรวาล อยากทำให้แม่มีความสุขมากที่สุดครับ เจสจะช่วยแม่แบบเต็มที่สุด ๆ แม้เราจะลำบาก แต่เราต้องทำตัวดี เห็นไหมครับว่า เด็กหลาย ๆ คน พอจน พ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลก็ไปติดยาเสพติด เจสรู้จักพี่คนหนึ่ง ไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่ พ่อแม่เสียตั้งแต่เขายังเล็ก แต่เขายังเป็นคนดีได้ แล้วทำไมเราจะเป็นไม่ได้ล่ะครับ" หนุ่มน้อยพูดจบก็ก้มลงกราบที่ตักแม่ พลางร้องเพลงค่าน้ำนมจนจบ








          "เป็นเด็กดีตลอดไปนะครับ ให้ได้เป็นโปรแกรมเมอร์ สตีฟ จ๊อบแจ๊บ อย่างที่เจสตั้งใจ เชื่อฟังผู้ใหญ่ เป็นเด็กฝรั่งไม่เป็นไร แต่ให้ฉลาด ช่วยเหลือสังคม หมดทุกข์นะลูกนะ มีแต่คนรัก คนเมตตา เจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียงในด้านดี มีแต่กัลยาณมิตรนะครับ..." แม่นก อวยพรด้วยน้ำตาเอ่อท้นให้ลูกรักพบแต่สิ่งดี ๆ และยอมรับว่า ทุกวันนี้ห่วงและสงสารเจสซี่ที่มาช่วยเดินขายเค้ก หากมีงานอื่นมาช่วยบ้าง เจสซี่จะได้มีเวลาไปศึกษาไอทีที่ชอบ

          ทั้งนี้ เรื่องราวของ เจสซี่ ที่ได้นำเสนอผ่านรายการคนค้นฅน ก็ทำให้หลายคนพยายามตามหา "พ่อ" ให้เขา แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่งแม่นกก็เข้าใจดีว่า ทางครอบครัวของพ่อไม่อยากจะให้ติดต่อกันอีก เพราะมีครอบครัวใหม่ที่ต้องดูแลแล้ว

          แล้ว เจสซี่ ล่ะ อยากพบหน้าคุณพ่ออีกไหม หรือแอบน้อยใจคุณพ่อบ้างไหม? เจ้าตัวยิ้ม ๆ ก่อนจะบอกว่า "มันผ่านไปแล้วครับ ช่างมันเถอะ มันก็ต้องทน แต่ก็ยังรักพ่อเหมือนเดิม เพราะคนไทยนั้นให้ความสำคัญเรื่องความกตัญญู"

          และอาจจะเป็นเพราะความกตัญญูนี่ล่ะที่ทำให้ เจสซี่ มีแฟนคลับมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเรื่องราวของเขาออกอากาศจนเป็นที่รับรู้ในวงกว้างมากขึ้น นอกจากนี้ เจ้าตัวก็ยังได้รับโอกาสไปทำงานที่กรุงเทพฯ ล่าสุด ก็คือการเป็นพิธีกรรายการกบนอกกะลา ที่เด็กน้อยทำได้ยอดเยี่ยม เลยทำให้หลายคนสงสัยว่า เจสซี่ จะชอบการเป็นดารามากกว่าหรือเปล่านะ แต่เด็กชายตอบว่า...

          "ถ้าไปเจอบริษัทดี ๆ ก็ทำได้ครับ เพราะจะได้ช่วยแม่หาเงิน แต่ยังอยากเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่เหมือนเดิม แล้วก็ยังขายเค้กเหมือนเดิม คงต้องขายเค้กหลายคันรถถึงจะมีเงินต่อปริญญาเอกได้ แต่เจสคงต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยครับ" เจสซี่ ตอบอย่างซื่อ ๆ ถึงความฝันที่จะก้าวขึ้นไปเป็นโปรแกรมเมอร์ และไต่บันไดตามไอดอลในดวงใจของเขาไปให้ได้ แม้ว่าการจะไปสู่จุดหมายนั้น เด็กน้อยคงจะต้องดิ้นรนอย่างหนักในการทำงานหารายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่เชื่อเถอะว่า หนุ่มน้อยคนนี้จะไม่ทำให้พี่ป้าน้าอาบรรดาแฟนคลับที่เฝ้ามองดูอยู่ผิดหวังแน่นอน

          "ดีใจมากครับที่ได้รับความเมตตาจากแฟนคลับ ทุกคนมีบุญคุณกับเจส ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่มาเจอ มาช่วยเจสขึ้นมาจากน้ำทะเลนะครับ" คำขอบคุณของเด็กน้อยที่ดูภายนอกเหมือนจะไร้เดียงสาตามประสาเด็กทั่วไป แต่ภายใน เขาคือเด็กฉลาดที่มีความคิดเกินวัย และเต็มไปด้วยจิตใจมุ่งมั่นเกินร้อยที่จะลิขิตชีวิตใหม่ด้วยตัวเอง...


















ขอขอบคุณข้อมูลจาก

นิตยสาร ค ฅน ปีที่ 7 ฉบับที่ 10 (82) กันยายน 2555


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เจสซี่ เด็กน้อยยอดกตัญญู กับชีวิตที่ขอลิขิตเอง โพสต์เมื่อ 11 ตุลาคม 2555 เวลา 10:46:42 5,657 อ่าน
TOP
x close