เสียงระเบิด ณ กันทรลักษ์...บทพิสูจน์ความรักอันคงมั่นของหนุ่มสาว







เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ทีวีบูรพา , นิตยสาร ฅ.คน

          "แต่งงานกันนะหญิง"... คำพูดสั้น ๆ ที่ "หมู่ป๊อก - ส.อ.ณัฐปกรณ์ พรหมหล้า" วัย 27 ปี เอื้อนเอ่ยต่อ "หญิง-พิไลวรรณ เชตุพน" แฟนสาวที่คบกันมานานกว่า 10 ปี บอกให้รู้ว่า ผู้ชายคนหนึ่งพร้อมจะดูแล และจูงมือหญิงสาวอันเป็นที่รักเดินเคียงข้างกันไปจวบจนชีวิตจะหาไม่...

          "หญิง" ตอบตกลงอย่างไม่ลังเลที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับชายชาติทหารผู้เป็นที่รัก พร้อมกับปรึกษาหารือเตรียมวางแผนวันวิวาห์ไว้อย่างเรียบร้อย อีกไม่นานแล้วสินะ ที่เด็กชายหลังห้องผู้เคยแอบชอบเพื่อนหญิงร่วมชั้นใน โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี จนตกลงคบหากันมานานถึง 10 ปี ก็จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว

          แต่ทว่า...ในวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555 ก่อนถึงวันวิวาห์เพียงไม่เดือน กลับกลายเป็นวันที่ "หมู่ป๊อก" และ "หญิง" จะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต เสียงระเบิดที่ดังขึ้นในชายแดนเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เกือบจะพรากชีวิตของ "หมู่ป๊อก" ไปจาก "หญิง" แม้กับระเบิดจะไม่ได้เอาชีวิต "หมู่ป๊อก" ไป แต่ขาข้างขวาของชายชาติทหารก็ขาดหายไปพร้อมกับแรงระเบิด เฉกเช่นเดียวกับงานวิวาห์ที่ตั้งตารอล้มครืนไปในบัดดล

          "ผมจัดชุดพาลูกน้องไปด้วยกัน 8 คน เพื่อออกลาดตระเวนตั้งแต่ 8 โมงครึ่ง ก็เดินไปตามเส้นทาง ขาไปปกติดี แต่ขากลับอีกประมาณ 500 เมตรจะถึงฐาน ขาขวาผมก็เหยียบกับระเบิดเต็ม ๆ เสียงมันดังสนั่น ดินสาดขึ้นฟุ้งไปหมด ตัวผมกระเด็นไปแล้วล้มลง แต่ตอนนั้นผมยังมีสติ ก็เลยพยายามผงกหัวมาดูที่ขา คือเท้าผมหายไปเลย เหลือแต่เชือกที่รัดตรงหน้าแข้ง" หมู่ป๊อก เล่าวินาทีชีวิต

          "ดูปุ๊บก็รู้แล้วว่าขาขาด ก็เรียกลูกน้องบอกให้มาช่วย คือตอนนั้นลูกน้องผมตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก ผมก็บอกให้เขามาห้ามเลือดให้ก่อน ก็เอาเชือกรองเท้ามารัดตรงปลายขาแล้วเอาสายสะพายปืนมารัดหน้าแข้งอีกชั้น จากนั้นผมก็บอกให้ลูกน้องแจ้งไปทางกองร้อยว่าผมเหยียบระเบิด แล้วก็ให้ลูกน้องไปตัดไม้ตัดอะไรมาเพื่อจะทำเปลสนาม คือผมยังมีสติดีทุกอย่างแรก ๆ ไม่เจ็บ ไม่รู้สึก หลังจากนั้นเมื่อเสียเลือดมากตัวผมก็เริ่มชา และมือก็เริ่มหงิก เหมือนจะหลับ เหมือนจะตาย..."

          ด้วยหัวใจในแบบฉบับทหารกล้า ผู้หมู่ยังคงเด็ดเดี่ยวจนวินาทีสุดท้าย ก่อนที่สติจะไม่อยู่กับตัว แล้วทุกอย่างที่ตาเห็นก็กลายเป็นภาพพร่ามัว เขาถูกนำส่งเข้าห้องไอซียู เพื่อรับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน และทันทีที่รู้ข่าว "หญิง" รีบเดินทางมาหา "หมู่ป๊อก" ที่โรงพยาบาลทันที เธอร้องไห้เฝ้ารอดูอาการของแฟนหนุ่มอยู่หน้าห้องไอซียู จนกระทั่งชายหนุ่มรอดตาย หญิงสาวเข้าไปเยี่ยมชายหนุ่มด้วยน้ำตานองหน้า แต่พยายามกลั้นไม่ให้เขาเห็น

          "ตอนแรกที่เห็นเขาเราตกใจมาก เขาอยู่ห้องไอซียู เราก็ได้แต่ร้องไห้อยู่ข้างนอก คือเป็นห่วงเขา เรากลัวเขาจะตาย เราไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย พอได้เข้าไปที่ห้องเราบอกตัวเองเลยว่าจะไม่ร้องไห้ให้เขาเห็น พอเข้าไปเห็นพี่ป๊อกสะลึมสะลือ สายออกซิเจนสายอะไรเต็มตัวไปหมด ตอนนั้นเขาไม่รู้สึกตัว แต่เขาลืมตา แล้วพยายามพูดว่า ขาขาด ๆ คือเหมือนเขาพยายามบอกกับเราว่าเขาไม่เหมือนเดิม คือเหมือนจิตใต้สำนึกของเขาสั่ง พอเราได้ยินก็บอกเขาว่า ไม่เป็นไรนะพี่ หญิงอยู่ข้าง ๆ แล้วเราก็ร้องไห้ เขาก็ร้องไห้" หญิง เล่าวินาทีที่แสนสะเทือนใจ

          หลังจาก "หมู่ป๊อก" ได้สติคืนมา เขาก็เห็น "หญิง" คอยพยาบาลอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา เขารู้ดีว่าแฟนสาวของเขาเหน็ดเหนื่อยอย่างหนักจากการสังเกตใบหน้าที่ดูโทรมลง แต่ "หญิง" ก็บอกเสมอว่า "ไม่เป็นไร เราได้อยู่ด้วยกันแล้ว หญิงดีใจ"

          แม้หญิงสาวจะคอยดูแลเขาไม่ห่างกาย แต่ผู้หมู่หนุ่มก็ยังคงกังวลว่า อนาคตต่อไปจะเป็นเช่นไร หญิงสาวจะยังคงรักเขาที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วอยู่หรือไม่ แม้เขาจะรู้คำตอบของหญิงสาวที่คบกันมานานดี แต่ก็อยากได้คำตอบที่ย้ำความมั่นใจ จึงเอ่ยถามหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าออกไป

          "ความรู้สึกที่เคยมีกับพี่ป๊อกยังไงก็ยังคงเหมือนเดิม ทุกวันนี้รู้สึกมีความสุขด้วยซ้ำที่เราได้อยู่ด้วยกัน เพราะไม่เคยได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ได้ดูแลเขาแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่คบกันมา 10 ปี หญิงมองในแง่ดีว่านี่คือความสุขอย่างหนึ่งที่ได้เฝ้าดูแลกัน แล้วอีกอย่างที่เขาก็เข้มแข็งยิ้มสู้กับอุปสรรคได้ทุกวัน ทำให้เรารู้สึกเหมือนพี่เขาแค่ป่วยและมานอนที่โรงพยาบาล พอหายป่วยเราก็จะกลับบ้านไปด้วยกัน" หญิง ตอบคำถามของแฟนหนุ่ม พลางปาดน้ำตาที่เอ่อออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ก่อนที่มือหยาบกร้านของทหารหนุ่มจะเอื้อมมาบีบแน่นที่ตักของคนรัก เหมือนอยากให้รับรู้ความรู้สึกที่ส่งผ่าน

          ที่ "หญิง" พูดเช่นนี้ นั่นเพราะช่วงเวลาสิบปีที่คบหากันมา "หญิง" และ "หมู่ป๊อก" อยู่กันคนละจังหวัด แทบจะไม่มีเวลาให้กันเลย หลังจากเรียนจบชั้นมัธยม ตัวของ "หญิง" ได้โควตาเข้าเรียนต่อสาธารณสุขที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ส่วน "ป๊อก" ตัดสินใจสมัครเข้ารับใช้ชาติ และต้องฝึกหนักตลอดทั้งปี ทำให้ปีหนึ่งได้เจอหน้าคนรักเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น และไม่สามารถคุยโทรศัพท์ได้ ทำได้แต่เพียงแค่เขียนจดหมายไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบหากัน กระทั่ง "หมู่ป๊อก" ถูกส่งไปประจำการที่ปัตตานี จนได้ย้ายมากันทรลักษ์ พวกเขาก็ยังอยู่ห่างกันเสมอ แม้ "หญิง" จะอัดอั้นตันใจ และน้อยใจอยู่บ้าง แต่เธอก็ได้บทเรียนที่ล้ำค่าว่า ระยะทางไม่ใช่อุปสรรคขัดขวางความรักของพวกเขาเลย

          เมื่อ "หมู่ป๊อก" ได้รับรู้ความในใจของ "หญิง" เขาก็ได้พูดตอบด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น ซึ่งทำให้หญิงสาวแน่นิ่งไป...

          "สำหรับผมแล้ว ถ้าเลือกได้ผมเลือกเสียขาดีกว่าเสียเธอไป เสียขาอย่างน้อย ๆ ผมก็ใส่ขาเทียมได้ แต่ถ้าเกิดเสียเขาไป ผมไม่รู้จะหาใครมาทดแทนเขาได้อีกแล้วในชีวิต ที่ผ่านมาเขาอยู่เคียงข้างผมทุกครั้งที่ผมเจ็บปวด อย่างเมื่อก่อนผมคิดถึงแต่อนาคตนะ ว่าต้องแต่งงานสร้างครอบครัว เราสองคนต้องทำแบบนั้นแบบนี้ แต่พอเป็นแบบนี้ทุกอย่างพังหมดเลย ผมถึงรู้แล้วว่าเราอย่าคิดไปไกล เราคิดแค่ว่าต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด หายเจ็บปวดให้ไวที่สุด เพื่อที่จะได้ดูแลหญิงบ้าง" วีรบุรุษสารภาพความในใจ

          แม้วันนี้ เขาทั้งคู่จะยังไม่ได้แต่งงานครองคู่ดังใจวาดฝัน แต่นับตั้งแต่วินาทีนี้ "หญิง" และ "หมู่ป๊อก" รับรู้แล้วว่า จะไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงหัวใจของพวกเขาที่อัดแน่นไปด้วยความรัก ความห่วงใย ให้ลดน้อยลงไปได้แน่นอน เพราะไม่สำคัญว่าเขาหรือเธอเป็นคนที่เจ็บปวดด้วยบาดแผล แต่สำคัญที่ว่าความรักยังคงเบ่งบานในวันที่ผ่านพ้นการเยียวยา



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

หนังสือ ฅ.คน ปีที่ 7 ฉบับที่ 11 (83) ตุลาคม 2555


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เสียงระเบิด ณ กันทรลักษ์...บทพิสูจน์ความรักอันคงมั่นของหนุ่มสาว โพสต์เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2555 เวลา 15:43:41 14,172 อ่าน
TOP
x close