เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2556 สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ชาวไซปรัสแห่ถอนเงินจากธนาคารอย่างโกลาหล เนื่องจากรัฐบาลมีมาตรการในการจัดเก็บภาษีเงินฝากเพิ่มขึ้นถึง 10% หลังจากที่รัฐบาลบรรลุข้อตกลงขอเงินกู้จากสหภาพยุโรปและไอเอ็มเอฟ
ภายหลังจากที่กลุ่มยูโรโซนและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) บรรลุข้อตกลงให้เงินจำนวน 1 หมื่นล้านยูโร (ราว 3.8 แสนล้านบาท) เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ไซปรัสต้องตกอยู่ในภาวะล้มละลาย โดยมีเงื่อนไขให้รัฐบาลไซปรัสเก็บภาษีแบบครั้งเดียว (one-off) จากบัญชีเงินฝากในธนาคารในประเทศของไซปรัส โดยผู้ที่มีเงินฝากเกิน 1 แสนยูโร จะถูกเก็บภาษี 9.9 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้ที่มีเงินฝากน้อยกว่านั้นจะถูกเก็บภาษี 6.75 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ภาคเอกชนจะต้องเสียภาษีธุรกิจเพิ่มจากร้อยละ 2.5 เป็น 12.5 อีกด้วย โดยที่ผู้ฝากเงินจะได้หุ้นของธนาคารเป็นการตอบแทน ทั้งนี้คาดว่ามาตรการนี้จะทำให้รัฐมีรายได้มากขึ้น 5,800 ล้านยูโร โดยในวันนี้ (18 มีนาคม) รัฐสภาไซปรัสจะต้องเดินหน้าหารือว่าจะยอมรับเงื่อนไขการเก็บภาษีเงินฝากเช่นนี้หรือไม่ ซึ่งหากรัฐสภายังตัดสินใจไม่ได้ คาดว่าจะต้องปิดทำการธนาคารทั่วไซปรัสในวันอังคารที่ 19 มีนาคมนี้ เพื่อป้องกันประชาชนแห่ไปถอนเงิน
ทางด้าน ประธานาธิบดีนิกอส อนาสตาเซียเดส ระบุว่า ไซปรัสจำเป็นต้องกู้เงินจำนวนดังกล่าวเพื่อป้องกันการล้มละลายในภาคธนาคาร ซึ่งรัฐบาลสามารถควบคุมและจัดการเงินที่กู้มาได้ และหากไม่ได้รับเงินกู้ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนมากจะต้องล้มละลายอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลังจากทราบข่าวชาวไซปรัสได้แห่ไปถอนเงินออกจากตู้เอทีเอ็มจนเงินสดไม่เพียงพอ ทั้งนี้ ประชาชนบางส่วนยังแสดงความไม่พอใจ โดยระบุว่า พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องนำเงินของพวกเขาไป ทั้งที่พวกเขาเป็นคนทำงาน เป็นคนฝากเงินเพื่อตัวเอง แต่กลับจะมีคนนำเงินของพวกเขาไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ยุติธรรมนัก ขณะที่บางคนบอกว่านี่เป็นการปล้นเงินประชาชนไปอุ้มธนาคารที่ใกล้ล้มละลาย
