
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
ผบก.ปอท. เตือนผู้ใช้โซเชียลมีเดีย หากโพสต์ข้อความเสียดสีบุคคลอื่น-ตัดต่อภาพ อาจได้รับบทลงโทษในคดีแพ่งและคดีอาญา พร้อมระบุ ตอนนี้มีหน่วยเฝ้าระวัง ไม่ต้องรอให้แจ้งความก่อน ดำเนินคดีได้ทันที
เมื่อวานนี้ (23 มิถุนายน 2556) พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) กล่าวถึงการกระทำความผิดทางโลกโซเชียลมีเดียที่มีมากขึ้นว่า ปัจจุบันพบว่าเรื่องที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด เป็นคดีที่มีเนื้อหาความผิดเกี่ยวข้องกับการหมิ่นประมาทต่อบุคคลทางโลกโซเชียลมีเดีย ในลักษณะการโพสต์ข้อความต่อว่ากันไปมาระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ด้วยคำพูดหยาบคาย รุนเเรง เเละหมิ่นประมาททำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งการกระทำลักษณะนี้จะเข้าข่ายการกระทำความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาทและมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เเละปรับไม่เกิน 1 เเสนบาท อีกด้วย
ทั้งนี้ ลักษณะการบิดเบือนข้อมูล ตัดต่อภาพ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ถ้าหากข้อมูลเป็นเท็จ เเละทำให้ผู้อื่นเสียหาย ถือเป็นความผิดหมด อีกทั้งหากมีการดัดแปลงข้อมูลหรือข้อความเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้อง ทางก็ตำรวจจะตรวจสอบดูเนื้อความว่า สื่อถึงผู้เสียหายหรือไม่ โดยต้องตรวจสอบดูความต่อเนื่องของการกระทำนั้นประกอบ เพราะหากทำครั้งเดียวอาจจะไม่สื่อ เเต่หากมีการทำหลายครั้ง ตำรวจก็จะวิเคราะห์เเละจับใจความให้ได้ว่า มีเป้าหมายสื่อถึงใครหรือต้องการโจมตีทำร้ายใคร เรียกว่าดูเจตนาเป็นสำคัญ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในปัจจุบันเกิดคดีความทางโลกไซเบอร์เพิ่มมากขึ้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการปรับเเก้กฎหมายให้มีความรุนเเรงมากขึ้นหรือไม่ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวว่า จะไม่มีการปรับเเก้กฎหมายหรือบทลงโทษ เพราะโทษที่ได้รับในปัจจุบันนั้นมีความรุนเเรงอยู่เเล้ว เเต่ต้องดำเนินการให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานเกิดความกลัวมากขึ้น
โดยขณะนี้ได้มีการจัดการอบรมกับตำรวจเพื่อให้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้งานทางคอมพิวเตอร์ รวมทั้งด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ พร้อมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจในการสืบสวนสอบสวนคดีประเภทนี้ เพื่อเเก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้กับประชาชนเบื้องต้นก่อน เเละหากเกินขีดความสามารถก็จะส่งให้ตำรวจ ปอท. เข้าไปช่วย
พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันตำรวจ ปอท. ที่เชี่ยวชาญทางเรื่องเทคโนโลยี มีจำนวนเพียงเเค่ 200 คน เเต่ต้องรับผิดชอบผู้ใช้งานทั่วประเทศ ซึ่งถือว่าเกินกำลัง ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงสั่งให้ทาง ปอท. ปรับเพิ่มกำลังคนเเละเครื่องมือในการดูเเล นอกจากนี้ การดำเนินคดีความทางโลกโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ผู้ใดมาเเจ้งความก่อนตำรวจถึงจะดำเนินการ เนื่องจากตอนนี้มีการจัดตั้งหน่วยเฝ้าจับตาดูอยู่แล้ว ดังนั้นหากพบเจอการกระทำความผิดก็จะดำเนินการทางกฎหมายทันที อย่างไรก็ตาม ฝากถึงผู้ใช้งานโซเซียลมีเดียทั้งหลายด้วยว่า ขอให้ใช้อย่างมีสติ สร้างสรรค์ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเเละอย่าไปละเมิดสิทธิผู้อื่น
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กฎหมายได้กำหนดให้การโพสต์ข้อความอันเข้าข่ายหมิ่นประมาท อาจเป็นความผิดตามกฎหมายทั้งทางแพ่งและทางอาญาใน 3 มาตรา ดังนี้
1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 "ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
2) ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 "ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียงบันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียงหรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท”
3) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 "ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหาย แก่ชื่อเสียง หรือ เกียรติคุณ ของบุคคลอื่น ก็ดี หรือ เป็นที่เสียหาย แก่ทางทำมาหาได้ หรือ ทางเจริญของเขา โดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหาย อย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้ ผู้ใด ส่งข่าวสาร อันตนมิได้รู้ว่า เป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้น มีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้น หาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่”
จาก 3 ข้อ ในข้างต้นนี้ สรุปได้ว่า การโพสต์ข้อความในอินเทอร์เน็ตไม่ว่า คนโพสต์จะเป็น "ผู้ใด" หากทำให้คนอื่นเสียหาย ก็เป็นความผิดตามกฎหมายได้ เนื่องจากการหมิ่นประมาท ถ้าได้โพสต์หรือกล่าวพาดพิงถึงใครให้คนอื่นฟัง ก็ถือเป็นการ "ใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม" ถ้าข้อความที่โพสต์ ทำให้ผู้อ่านรู้สึกไม่ดีกับผู้ที่ถูกกล่าวพาดพิง ย่อมเป็นการโพสต์หรือกล่าวที่อาจเข้าข่าย "โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง" ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายได้ และทันทีที่มีการโพสต์ในอินเทอร์เน็ต จะถือเป็นการ "หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา" นั่นเอง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







