
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Suttipong Thamawuit
พาณิชย์ ซัด สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ พิธีกรคนค้นฅน กุข่าวข้าวในโรงสีของรัฐบาลมีสารพิษ ฆ่าหนูตายได้ใน 5 นาที ท้าโชว์หลักฐานออกมา พร้อมตรวจสอบให้ ด้านเจ้าของข้าวตราฉัตร โวย ผลิตข้าวได้คุณภาพ ไม่ได้ใช้ข้าวจากสต๊อกรัฐ
หลังจาก นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ผู้ดำเนินรายการคนค้นฅน ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก Suttipong Thamawuit ว่า พบโรงสีข้าวรายใหญ่ 3 แห่ง ซึ่งเป็นของพรรคเพื่อไทยมีสารพิษตกค้าง และจากการตรวจสอบยังพบว่าสารพิษดังกล่าวสามารถฆ่าหนูให้ตายได้ภายใน 5 นาที จึงประกาศเตือนไม่ให้ซื้อข้าวหอมมะลิบางยี่ห้อโดยเด็ดขาด จนถูกกลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาลออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทำให้ นายสุทธิพงษ์ ต้องลบข้อความดังกล่าวทิ้ง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันนี้ (10 กรกฎาคม 2556) นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาระบุถึงเรื่องนี้ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการสร้างข่าวของผู้ไม่หวังดีที่คิดจะทำลายการค้าและประเทศชาติ เพราะข่าวนี้ส่งผลกระทบต่อการระบายข้าวของรัฐบาล ซึ่งจริง ๆ แล้ว รัฐบาลเข้มงวดตรวจสอบโรงสีมาโดยตลอด หากพบโรงสีใดทำผิดก็จะลงโทษ
ทั้งนี้ รมว.พาณิชย์ ได้บอกด้วยว่า สำหรับข้อมูลที่อ้างกันนี้ หากมีหลักฐานจริงก็ต้องระบุมาเลยว่าพื้นที่ไหน ยี่ห้ออะไร ทางกระทรวงพร้อมจะเข้าไปตรวจสอบ เพราะบางทีอาจมีปัญหาแค่ 1% แต่การพูดเช่นนี้อาจทำให้ข้าวที่เหลือเกือบ 100% ได้รับความเสียหายไปด้วย ขอยืนยันว่ารัฐได้สั่งการให้ตรวจสอบข้าวถุงแล้ว และก็พบว่าข้าวไทยมีคุณภาพ อาจจะมีปัญหาเพียงแค่บางจุดเท่านั้น
ด้านนายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตข้าวตราฉัตร ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ข่าวที่ออกมาเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เพราะข้าวตราฉัตรนั้นผ่านกระบวนการผลิตที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานจีเอ็มพี และมาตรฐาน อย. โดยนำข้าวสารมาจากข้าวของโรงสี 3 แห่งของบริษัทในจังหวัดกำแพงเพชร สุพรรณบุรี และซื้อตรงจากโรงสีในเครืออีก 40 แห่ง ไม่ได้ใช้ข้าวจากสต๊อกของรัฐบาลแต่อย่างใด
นอกจากนี้ นายสุเมธ ยังบอกด้วยว่า การที่นายสุทธิพงษ์ออกมาพูดเช่นนี้ ทำให้แบรนด์สินค้าเสียหาย ส่งผลต่อภาพลักษณ์สินค้า ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้ชี้แจงนายสุทธิพงษ์ไปแล้ว แต่นายสุทธิพงษ์ก็ยังไม่ได้แก้ไขข้อความ

สุทธิพงษ์ คนค้นฅน บล็อกเฟซบุ๊กชั่วคราว หลังโพสต์แฉโรงสีเพื่อไทย
สุทธิพงษ์ คนค้นฅน โพสต์แฉโรงสีเพื่อไทย บอกรายชื่อยี่ห้อข้าวอันตราย ทำหนูตายใน 5 นาที แต่เจ้าตัวออกมาลบข้อความ พร้อมกับบล็อกเฟซบุ๊กชั่วคราว
กลายเป็นข่าวที่ถูกจับตามองเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อ นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ผู้ดำเนินรายการคนค้นฅน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Suttipong Thamawuit เมื่อวานนี้ (9 กรกฎาคม 2556) ระบุถึงโรงสีข้าวรายใหญ่ของพรรคเพื่อไทย มีสารพิษตกค้าง และสารดังกล่าวไม่สามารถละลายน้ำได้ นอกจากนี้ยังจะทำให้หนูตายภายใน 5 นาที...
"แล้วแต่พิจารณานะครับ ผมไม่ได้มีประโยชน์ได้เสีย โรงสีข้าวที่กำลังเตรียมส่งข้างในสต็อกออกจำหน่าย ให้กับผู้ผลิตรายใหญ่ ได้แก่.............. เป็นโรงสีของภาคอีสาน เป็นโรงงานของ ส.ส.เพื่อไทย คงจะมีสารพิษตกค้าง เพราะสารตัวนี้ไม่สามารถละลายในน้ำได้ หนูตายใน 5 นาที
ห้ามซื้อ........ ทุกยี่ห้อ ตอนนี้ข้าวถูกจำหน่ายออกในนาม .......... เนื่องจากคนกลัวข้าวจากอีสาน และสต็อกต่อไปคือข้าวเสาไห้ ยี่ห้อ.......... ห้ามเด็ดขาด ............ ทุกประเภทห้ามทาน เป็นสต็อกจากต้นปีที่แล้ว จัดจำหน่าย"
ทั้งนี้ เมื่อข้อความดังกล่าวถูกส่งต่อไป ชาวเน็ตต่างก็กดแชร์กันอย่างมากมาย และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหลายกระแส บ้างก็บอกว่า นายสุทธิพงษ์ จะปลอดภัยไหม ที่กล้าพาดพิงถึงพรรคเพื่อไทยออกสื่อขนาดนี้ บ้างก็ให้นายสุทธิพงษ์หาหลักฐานและข้อมูลมายืนยัน
จากนั้น นายสุทธิพงษ์ ได้ลบข้อความดังกล่าวทิ้งไป และได้โพสต์ข้อความใหม่ว่า...

"เร็วกว่าไฟลามทุ่ง ถึงแม้ผมจะลบไปแล้ว เร็วที่สุดเท่าที่ผมจัดการได้ เมื่อเห็นผลของความสะเพร่าไปไกลเกินกว่าเจตนาแห่งสัมมาทิฐิและกุศลเจตนา อย่าให้และอย่าใช้ผมไปก่อกรรมกับใครเลยนะครับ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าผมสามารถลบความจริงทิ้งได้ และไม่ว่าใครก็ไม่สามารถลบกรรมทั้งดีทั้งชั่วทิ้งได้ โดยเฉพาะการกระทำกับชาวนาและข้าวปลาอาหาร"
อย่างไรก็ดี ล่าสุด เฟซบุ๊กของ นายสุทธิพงษ์ ถูกบล็อกไปชั่วคราว ต่อจากนั้น ช่วงเช้าวันนี้ (10 กรกฎาคม 2556) นายสุทธิพงษ์ ได้เปิดเฟซบุ๊กอีกครั้ง พร้อมระบุข้อความว่า...

"ที่ผ่านมา ผมปลีกตัวอยู่เงียบ ๆ ทำหน้าที่ของผมไป ภายใต้ความเป็นไปของโลกที่ตระหนักดีว่าทัดทานไม่ได้ แตะต้องไม่ได้ ถ้าไม่อยากเปลืองตัว ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่าวังเวงเหลือเกิน แผ่นดินนี้ สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกวังเวง ไม่ใช่คลิปสนทนาที่บอกว่าตัดต่อ ไม่ใช่ผลของโครงการรับจำนำข้าวที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันทำให้คนมีดวงตาเห็นธรรมเหมือนกัน ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกันต่อตัวท่านนายก ไปจนกระทั่งถึงการที่มีรัฐมนตรีมองว่าประชาชนเป็นขยะ ผมใช้โทรศัพท์เอไอเอสมาหลายปี ไม่เคยคิดเปลี่ยน รู้สึกสงสารท่านนายกอย่างไรก็ไม่เคยเปลี่ยน แต่ก็ไม่สามารถที่จะชื่นชมการแชร์ความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ได้หมายความว่าเราคิดเหมือนกันทุกอย่าง การไม่พูดถึงก็ไม่ได้หมายความว่าเห็นต่างไปเสียทั้งหมด คงถึงเวลาที่ต้องประกาศจุดยืนให้ทราบโดยทั่วกันว่า ผมเลือกข้างแล้วชัดเจน ว่าผมอยู่ข้างความถูกต้อง ถามว่าเอาอะไรมาวัดว่าถูกหรือผิด ตอบว่าเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ซึ่งความมืดบอดต่อสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนี่เอง ที่ทำให้ผมรู้สึกวังเวง"
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







