

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก CRASH 2014
ยูซุรุ ฮะนิว (Yuzuru Hanyu) นักสเกตลีลากลับถึงญี่ปุ่นแล้ว ในสภาพนั่งวีลแชร์ ด้านสหพันธ์สเกตน้ำแข็งญี่ปุ่น ถูกรุมประณาม หลังปล่อย ยูซุรุ ฮะนิว ลงแข่งต่อทั้งที่บาดเจ็บ เป็นอันตรายถึงชีวิต
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 สำนักข่าวเอเอฟพี มีรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า ยูซุรุ ฮะนิว (Yuzuru Hanyu) นักสเกตลีลาหนุ่มขวัญใจสาว ๆ วัย 19 ปี แชมป์โอลิมปิกฤดูหนาว เดินทางกลับมาถึงประเทศญี่ปุ่นแล้วในสภาพนั่งรถเข็นวีลแชร์ และได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ว่ามีรอยช้ำที่กะโหลก หลังประสบอุบัติเหตุพุ่งชนกับเพื่อนนักกีฬาจนได้รับบาดเจ็บระหว่างช่วงวอร์มร่างกายของนักกีฬา ในการแข่งขันคัพ ออฟ ไชน่า ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในจังหวะที่ฮะนิวกำลังจะกระโดดหมุนตัว แล้วชนเข้ากับ เหยียน ฮั่น นักกีฬาจีน จนทั้งคู่ล้มลงไปนอนอยู่กับพื้น ฮะนิวได้รับบาดเจ็บบริเวณกรามและศีรษะ ขณะที่อีกฝ่ายก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ทว่าหลังจากที่ปฐมพยายาลเบื้องต้นด้วยการเย็บแผลที่กรามและใช้ที่เย็บกระดาษมาสมานแผลที่ศีรษะแล้ว ทีมนักกีฬากลับปล่อยให้ฮะนิวลงไปแข่งต่อ แม้ว่าโค้ช ไบรอัน ออร์เซอร์ จะเตือนเขาว่าไม่ใช่เวลามาทำตัวเป็นฮีโร่ก็ตาม
ขณะที่สหพันธ์สเกตน้ำแข็งญี่ปุ่นได้ถูกกล่าวโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยมีนักกีฬาหลายคนออกมาประณามสหพันธ์ฯ ที่ปล่อยให้นักกีฬาเสี่ยงตายเพื่อการแข่งขัน โดย โนริโกะ มิโซกูชิ นักกีฬายูโด ซึ่งเคยคว้าเหรียญเงินจากการแข่งขันโอลิมปิก ชี้ว่า ฮะนิวอาจจะได้รับแรงกระแทกซึ่งเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่สมอง การที่ทางสหพันธ์ฯ ออกมาอ้างว่าฮะนิวตัดสินใจที่จะแข่นขันต่อให้จบเอง นับเป็นข้ออ้างที่แย่มาก มันดีแล้วหรือที่จะปล่อยให้นักกีฬาเสี่ยงตาย ขนาดกีฬาอื่น ๆ อย่างรักบี้หรือยูโดเอง หากมีกรณีที่สงสัยว่านักกีฬาจะได้รับแรงกระแทกเช่นนี้ ยังต้องนึกถึงความปลอดภัยของนักกีฬาเป็นอย่างแรก
ความคิดเห็นดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจาก ได ทาเมสึเอะ นักกีฬากระโดดข้ามรั้วเหรียญทองแดงโลก ที่เขียนตำหนิสหพันธ์สเกตของญี่ปุ่น ลงในหนังสือพิมพ์นิกคัน สปอร์ตส์ ระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวอาจทำให้นักกีฬาเสียชีวิตได้ เนื่องจากสเกตลีลาไม่ใช่กีฬาปะทะกัน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่ได้ตรวจสอบว่านักกีฬาได้รับแรงกระแทกหรือไม่ แต่การให้นักกีฬาลงแข่งต่อนั้นเป็นการเสี่ยงชีวิตอย่างแท้จริง แน่นอนว่านักกีฬาย่อมอยากทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด แต่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ที่ควรจะหยุดพวกเขาหากเล็งเห็นว่ามีความเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อนักกีฬา






