

โดโรธี เอดดี้ หรือ ออมม์ เซตี้
เรื่องราว "การระลึกชาติ" เรื่องแล้วเรื่องเล่า ถูกเล่าออกมาจากปากของบุคคลผู้อ้างว่าตนสามารถจำความเป็นมาในชีวิตที่แล้วของตนเองได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เคยมีเรื่องใดที่ได้รับการยืนยันเป็นการระลึกชาติของจริง เพราะยังคงไร้หนทางทางวิทยาศาสตร์หรือกระบวนการที่เป็นแบบแผนมากพอที่จะพิสูจน์ว่าคำบอกเล่าเหล่านั้นเชื่อถือได้ การระลึกชาตินี้จึงยังเป็นเพียงเรื่องเล่าชวนทึ่ง เมื่อได้พบว่ารายละเอียดหลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกบอกเล่าออกมา ตรงกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีตจริง ๆ อย่างน่าอัศจรรย์ แต่สุดท้ายแล้วจะเชื่อเรื่องระลึกชาตินี้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณส่วนบุคคล และวันนี้กระปุกดอทคอมก็มีเรื่องราวการระลึกชาติอีกบทหนึ่งมาเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องราวของหญิงชาวอังกฤษที่ตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง...พร้อมการระลึกชาติว่าเธอเคยเป็นนักบวชหญิงแห่งลุ่มน้ำไนล์ และเป็นคนรักของฟาโรห์เซติที่ 1 บุตรแห่งฟาโรห์ราเมเซสที่ 1 (Ramesses I) และพระนางซิทรี (Sitre) ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายพันปีที่แล้ว !!
โดโรธี เอดดี้ (Dorothy Eady) เกิดเมื่อปี 1903 จากครอบครัวฐานะมั่งมีทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน ทุกอย่างดำเนินมาอย่างปกติเท่าที่ชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งควรจะเป็น จนกระทั่งเด็กน้อยพลัดจากตกบันไดลงมาตอนอายุ 3 ขวบ ร่างของโดโรธีแน่นิ่งไม่ไหวติง จนแพทย์ประจำครอบครัวได้ลงความเห็นว่าเด็กหญิงได้เสียชีวิตเสียแล้ว แต่หลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเธอก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาท่ามกลางความตื่นตะลึงระความดีใจของคนในครอบครัว แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าโดโรธีน้อยที่ฟื้นขึ้นมาในคราวนี้ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เธอกลับมาพร้อมความทรงจำชีวิตภพก่อน ย้อนหลังไปถึงสมัยอียิปต์โบราณเมื่อกว่า 3,000 ปีที่แล้ว
หลังฟื้นจากความตายโดโรธีเริ่มมีพฤติกรรมแปลก ๆ เด็กหญิงชอบไปซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ หลังโซฟา หรือตามเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ แต่สิ่งที่ยังความประหลาดใจที่สุดมาให้แก่พ่อแม่ของเธอ เกิดขึ้นตอนโดโรธีอายุ 5 ขวบ เมื่อเขาพาเธอไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บริติช มิวเซียม เมื่อเข้าไปถึงห้องจัดแสดงเรื่องอียิปต์โบราณ สาวน้อยก้มลงจูบแทบเท้าที่รูปปั้นอียิปต์โบราณ แล้วยังไปนั่งอยู่ตรงมัมมี่ที่ถูกแสดงไว้ในโลงแก้ว เมื่อแม่ของเธอดึงลูกสาวออกมา โดโรธีดิ้นรนและกล่าวว่า "ปล่อยหนูไว้ที่นี่ พวกเขาคือคนของหนู"
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บริติช มิวเซียม
หลังทริปไปพิพิธภัณฑ์ในคราวนั้น โดโรธีก็เริ่มฝันเห็นสถานที่แปลกตา เป็นสิ่งปลูกสร้างมีเสาต้นสูงใหญ่รายล้อมไปด้วยพรรณไม้มากมาย เธอคอยเฝ้าบอกกับพ่อแม่ให้ "พาหนูกลับบ้านที" แล้วหลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือนความทรงจำระลึกชาติของโดโรธีก็เริ่มปะติดปะต่อเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เมื่อเธอบังเอิญได้เห็นภาพถ่ายสถานที่จากดินแดนอียิปต์โบราณ เด็กหญิงโชว์อักษรฮีโรกริฟฟิก (hieroglyphics) ให้มารดาดู และบอกว่าเธอรู้จักภาษานี้ ยิ่งเมื่อได้เห็นภาพวิหารฟาโรห์เซติที่ 1 ณ อะบิดอส (Temple of Seti the First at Abydos) เด็กหญิงก็ร้องลั่นออกมาว่า "นี่บ้านของหนู หนูเคยอยู่ที่นี่" เสาต้นใหญ่ ๆ ที่เธอเคยเห็นมาก่อนในความฝันก็คือวิหารแห่งนี้นี่เอง แม้จะไม่มีส่วนไหนที่บ่งบอกว่าซากโบราณสถานแห่งนี้มีสวนสวยที่เต็มไปด้วยพรรณไม้ก็ตาม

วิหารฟาโรห์เซติที่ 1 ณ อะบิดอส
ในช่วงระหว่างเด็กหญิงโดโรธีเติบโตจนกระทั่งอายุ 20 ว่าปี เธอใช้มันไปกับการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับอียิปต์โบราณ เธอไปเยี่ยมเยียนที่บริติช มิวเซียม อีกบ่อยครั้ง และได้รู้จักสนิทสนมกับนักอียิปต์ศึกษา เซอร์อี เอ วอลลิส บัดจ์ ผู้สอนการอ่านอักษรภาพฮีโรกลิฟฟิกให้ และก็ต้องประหลาดใจอย่างที่สุดเมื่อพบว่าเด็กสาวสามารถเรียนรู้เข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งโดโรธีอธิบายแก่เขาว่า เธอก็แค่รื้อฟื้นภาษาเดิมที่เคยรู้จักมาก่อนแล้วเท่านั้นเอง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดโรธีย้ายไปอาศัยอยู่ที่ซัสเซกกับคุณยาย รอดพ้นจากลูกระเบิดที่ถูกทิ้งในลอนดอนได้ถึงสองครั้งสองครา แต่แม้สงครามจะยังมาซึ่งความวุ่นวาย ความสนใจในเรื่องอียิปต์โบราณของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลง โดโรธีมีความสนใจเรื่องโบราณสถานและการขุดค้นมากขึ้น เธอยังเริ่มสะสมวัตถุโบราณอีกด้วย และเมื่ออายุได้ 27 ปี โดโรธีก็ทำงานให้กับนิตยสารอียิปต์ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในกรุงลอนดอน และที่นี่เองที่ทำให้เธอได้พบกับ อีมาน อับเดล เมกูอิด คนรักชาวอียิปต์ และได้แต่งงานกันในที่สุด
ในปี 1931 เมื่อโดโรธีอายุได้ 29 ปี เธอก็ได้ย้ายตามสามีไปยังกรุงไคโรของอียิปต์ ได้ไปเหยียบดินแดนซึ่งเธอเชื่อว่าเป็นแผ่นดินเกิดของตนเอง เธอและอีมานมีลูกชายด้วยกัน 1 คน โดโรธีตั้งชื่อเขาว่า "เซตี้" (Sety) ตามชื่อของฟาโรห์เซติที่ 1 ซึ่งเป็นที่มาให้เธอถูกเรียกว่า "ออมม์ เซตี้" (Omm Sety) อันแปลว่า มารดาของเซตี้ ในเวลาต่อมา
ความสัมพันธ์ฉันสามี-ภรรยา ของโดโรธีและอีมานไม่ค่อยราบรื่นนัก เธอยังหมกมุ่นกับการศึกษาเรื่องอียิปต์โบราณ ขณะที่อีมานแทบไม่มีความสนใจต่อเรื่องนี้เลย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องประหลาด ๆ เกิดขึ้น พ่อของอีมานเคยวิ่งออกจากบ้านอย่างตื่นตระหนก บอกกับลูกชายว่าเห็นฟาโรห์มานั่งอยู่ตรงปลายเตียงโดโรธี ส่วนตัวอีมานเองก็ประสบพบเรื่องประหลาดด้วยตัวเอง เมื่อได้เห็นภรรยาละเมอขึ้นกลางดึก นั่งลงเขียนอักษรภาพโบราณลงกระดาษความยาวรวมกว่า 70 หน้า โดโรธีบอกกับเขาว่า มีวิญญาณตนหนึ่งชื่อ โฮรา มาเยี่ยมเยียนในความฝัน บอกเล่าเรื่องราวชีวิตในชาติภพก่อนของเธอ
เรื่องราวนั้นเล่าว่า เธอชื่อ "เบนทรีไชท์" (Bemtreshyt) เคยมีชีวิตอยู่ในสมัยฟาโรห์เซติที่ 1 เมื่อกว่า 3,000 ปีที่แล้ว พ่อแม่ของเธอจากไปตั้งแต่อายุ 3 ขวบ และทิ้งให้เธอเติบโตมาโดยการเลี้ยงดูจากนักบวชแห่งวิหารคอม เอล-ซุลตาน แห่งเมืองอาบิดอส เมื่ออายุ 12 ปี เบนทรีไชท์ก็เข้าสาบานตนเป็นนักบวชหญิงของวิหาร ผู้อุทิศตนแด่เทพีไอซิส (Isis) และต้องคงความบริสุทธิ์ของตนตลอดไป ทว่าดวงชะตาก็มีอันพาให้เธอได้พบกับฟาโรห์เซติที่ 1 (ครองบัลลังก์ช่วง 1290-1279 ก่อนคริสต์ศักราช) ขณะที่พระองค์มาเยี่ยมดูการก่อสร้างวิหารในเมืองอะบิดอส ที่พระองค์สั่งให้สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพโอซิริส (อันกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ วิหารฟาโรห์เซติที่ 1 ณ อะบิดอส ในเวลาต่อมา) ในตอนนั้นแม้พระองค์จะอยู่ในวัย 50 กว่าปี แต่ก็ไม่อาจยับยั้งมิให้ความรักระหว่างกษัตริย์กับนักบวชหญิงเบ่งบานขึ้น ในที่สุดเบนทรีไชท์ก็ตั้งครรภ์ และระหว่างนั้นองค์ฟาโรห์ต้องกลับไปดูแลชายแดนอียิปต์ที่กำลังถูกรุกราน เมื่อเรื่องที่นักบวชสาวตั้งครรภ์ไปถึงหูของหัวหน้านักบวช เบนทรีไชท์ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นสมบัติของวิหารห้ามตกเป็นของชายใด จึงตัดสินใจปลิดชีวิตตนเองโดยไม่ยอมปริปากว่าคนรักของเธอคือใคร เพื่อปกป้องเกียรติของฟาโรห์เซติที่ 1 เมื่อองค์ฟาโรห์เซติหวนกลับมาอีกครั้งก็พบกับข่าวร้ายว่าคนรักสาวของตนตัดสินใจปลิดชีพตนเองไปเสียแล้ว ก็ได้แต่โศกเศร้าเสียใจ และลั่นวาจาว่าจะไม่มีวันลืมเธอไปตลอดชีวิต..
รูปจำลองหญิงสาวสมัยอียิปต์โบราณ
กลับมาที่เรื่องราวของโดโรธี เธอและสามีได้เลิกราแยกทางกันไปในที่สุดขณะที่เซตี้อายุได้เพียง 2 ขวบ โดยลูกชายอยู่กับฝ่ายสามี ส่วนตัวเธอนั้นยังคงศึกษาเรื่องราวอียิปต์โบราณต่อไป เรื่องราวการระลึกชาติของเธอยังคงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยแก่ทุกผู้คนที่ได้รับฟัง แต่ในที่สุดทุก ๆ ครั้งโดโรธีก็มีโอกาสได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่เธอเล่ามาไม่ใช่เรื่องที่ปั้นแต่งขึ้น
โดโรธีย้ายไปอยู่ที่เมืองอะบิดอส และในปี 1956 เมื่ออายุ 52 ปี เธอได้เข้าทำงานที่กรมโบราณสถานและวัตถุโบราณแห่งอียิปต์ ในฐานะผู้ช่วยนักวิจัยโบราณสถาน และที่นี่เองที่เธอถูกทดสอบเรื่องการระลึกชาติที่ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นนักบวชหญิงแห่งลุ่มน้ำไนล์ เป็นคนรักของฟาโรห์เซติที่ 1 นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ซึ่งโดโรธีก็ได้มอบคำตอบที่ชวนเหลือเชื่อแก่คนในคณะวิจัยเมื่อเธอถูกพาไปยังผนังที่มีภาพเขียนโบราณท่ามกลางความมืดมิด เป็นภาพเขียนที่ยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยลงในรายงานหรือวารสารฉบับใด ๆ มาก่อน แล้วถูกให้อธิบายลักษณะภาพที่ปรากฏอยู่ นางโดโรธีในวัยกลางคนก็อธิบายลักษณะของภาพเขียนดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง หนำซ้ำยังบอกถึงรายละเอียดอื่น ๆ ที่คณะวิจัยยังไม่ทันได้ค้นพบอีกด้วย นอกจากบทพิสูจน์นี้แล้ว นางโดโรธีใช้ทั้งความสามารถในการอ่านอักษรโบราณผนวกกับความทรงจำที่ระลึกได้ ช่วยแปลความหมายผลงานศิลปะโบราณที่ขุดค้นพบอีกหลายชิ้นที่แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญยังยอมจำนนต่อการถอดความหมาย




และบทพิสูจน์ที่นับได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือเมื่อโดโรธีบอกเล่าถึงสวนที่เต็มไปด้วยไม้นานาพรรณภายในวิหารแห่งฟาโรห์เซติที่ 1 ที่ซึ่งเธอเมื่อครั้งเป็นนักบวชสาวเบนทรีไชท์มาใช้นั่งทำสมาธิ และเป็นสถานที่นัดพบกับฟาโรห์เซติที่ 1 ซึ่งวิหารบริเวณนี้ไม่เคยมีนักวิจัยคนไหนทราบมาก่อนว่ามีอยู่ แต่เมื่อขุดค้นดูก็ได้พบว่ามันมีอยู่จริง ๆ ในตำแหน่งเดียวกับที่โดโรธีบอกมาไม่มีผิดเพี้ยน
การค้นพบเหล่านี้ล้วนมาจากการระลึกชาติของนางโดโรธีทั้งสิ้น และในที่สุดก็ทำให้ชาวบ้านในเมืองอะบิดอสเชื่ออย่างไร้ข้อเคลือบแคลงใด ๆ ว่า นางโดโรธี หรือ ออมม์ เซตี้ คนนี้ คือ เบนทรีไชท์ นักบวชหญิงแห่งลุ่มน้ำไนล์และคนรักขององค์ฟาโรห์ เมื่อ 3,000 กว่าปีที่แล้วกลับชาติมาเกิดจริง ๆ
โดโรธีใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในเมืองอะบิดอส เธอกลายเป็นคนดังของเมือง ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวชื่นชอบที่จะฟังเรื่องราวการระลึกชาติจากปากของเธอ พอ ๆ กับที่มาเยี่ยมเยือนซากวิหารโบราณที่เมืองนี้ เธอเสียชีวิตลงเมื่อปี 1981 ในวัย 78 ปี
เรื่องราวของโดโรธียังคงถูกบอกเล่ากันสืบมา ชาวเมืองอะบิดอส ตลอดจนผู้ศึกษาเรื่องอียิปต์โบราณมากมาย เชื่อและเคารพในการระลึกชาติของเธอ ขณะที่คนที่อยู่วงนอกยังคงไม่อาจเชื่อได้สนิทใจว่าเธอสามารถจดจำเรื่องราวครั้งอดีตชาติได้จริง บางทีอาจเป็นแค่ความหมกมุ่นสนใจเรื่องอียิปต์โบราณที่มากมายจนเธอหยิบส่วนนั้นส่วนนี้มาปะติดปะต่อกันขึ้นเป็นเรื่องราวก็ได้... และมันก็กลายเป็นความกังขาที่ยังไม่สามารถพิสูจน์กระจ่างมาจนถึงทุกวันนี้
world_id:556d7a7938217ac507000000
ภาพจาก nell-rose.hubpages.com, arqueologiaegipcia.com
ขอบคุณข้อมูลจาก nell-rose.hubpages.com, historicmysteries.com, marahouseluxor.com






