ที่ประชุม สนช. รับหลักร่างกฎหมายกำลังพลสำรอง ด้าน ผบ.ทบ. เผย เพศที่สามอาจถูกเรียกเป็นกำลังสำรองหากมีความจำเป็น พร้อมยันนายจ้างไม่เสียประโยชน์ เพราะฝึกเพียง 2 เดือน
วันที่ 17 กรกฎาคม 2558 เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.เป็นประธานการประชุม ได้มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.กำลังพลสำรอง พ.ศ. ... ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอ ในวาระที่ 1 ด้วยคะแนน 189 งดออกเสียง 4 พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา จำนวน 19 คน
โดย พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ที่ผ่านมาต้องใช้การหมุนเวียนกำลังพลเนื่องจากขาดงบประมาณ จึงได้เสนอกฎหมายเพื่อกำหนดประเภทบุคคลที่จะเป็นกำลังพลสำรอง รวมถึงกำหนดหน้าที่สิทธิในการเข้ารับราชการทหารให้เกิดความชัดเจนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงได้เสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการกำลังพลสำรอง (คกส.) โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการ 20 คน และกำหนดวิธีรับบุคคลเข้าเป็นกำลังพลสำรอง โดยวิธีรับสมัครหรือคัดเลือกจากนายทหารสัญญาบัตรกองหนุน, นายทหารสัญญาบัตรนอกราชการ, นายทหารสัญญาบัตรนอกกอง, ทหารกองหนุนประเภทที่ 1 หรือที่ประเภท 2 เป็นต้น
พล.อ. อุดมเดช กล่าวต่อว่า การเรียกกำลังพลสำรองและการระดมพลสามารถเรียกได้เฉพาะกรณีจำเป็นที่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญหรือการแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ ตนเชื่อมั่นว่าร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวจะยกระดับกิจการพลสำรองเป็นงานระดับชาติที่ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม และทำให้กระทรวงกลาโหมมีความพร้อมด้านบุคคลากรมากขึ้นต่อการสนับสนุนป้องกันเพื่อประโยชน์ประชาชนและพร้อมผลักดันให้กำลังพลสำรองชายและหญิงเข้ามารับใช้ประเทศ
ขณะที่ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สนช. ตั้งข้อสังเกตว่าการคัดเลือกทหารกองหนุนหรือทหารกองเกินซึ่งบุคคลที่เป็นนักศึกษาวิชาทหารหรือรักษาดินแดน (รด.) ที่มีทั้งชาย หญิง และเพศที่สาม จะได้รับการยกเว้นจากการเป็นกำลังพลสำรองหรือไม่ และจะถูกยกเว้นการเกณฑ์ทหารหรือไม่นั้น
พล.อ. อุดมเดช ชี้แจงว่า ตามบทบัญญัติว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหารไม่ได้กำหนดยกเว้นบุคคลเพศที่สาม ไม่ต้องถูกเรียกเป็นกำลังพลสำรอง หรือไม่ยกเว้นการเกณฑ์ทหาร แต่หากอยู่ในความเหมาะสมและสถานการณ์จำเป็น ก็สามารถถูกเรียกเป็นกำลังพลสำรองได้
อย่างไรก็ตามในกรณีกำหนดสิทธิประโยชน์แก่นายจ้างนั้น ได้วางมาตรการทุกอย่างเพื่อไม่ให้นายจ้างและกำลังพลสำรองเสียสิทธิประโยชน์ จึงไม่น่าจะเป็นปัญหาเพราะเรียกกำลังพลไม่ได้ใช้ระยะเวลานาน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โดยมีโอกาสถูกเรียกร้อยละ 2.5 จากจำนวนกำลังพลสำรองทั้งหมด โดยจะไปประจำตามเหล่าทัพ ส่วนการฝึกกำลังพลจะใช้ระยะเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น
ภาพจาก dofiga.net
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
