
เผยความในใจของ วีระกานต์ มุสิกพงศ์ ถึง สิงห์ Sqweez Animal ลูกชายสุดที่รัก ผ่านหนังสือที่ระลึกในงานฌาปนกิจ กับข้อความเศร้าน้ำตาริน "พ่อร้องไห้เพื่อสิงห์โดยไม่เสียดายน้ำตา"
ข่าวคราวการจากไปของ สิงห์ มุสิกพงศ์ หรือ สิงห์ Sqweez Animal มือกีตาร์ของวง Sqweez Animal เมื่อคืนวันที่ 29 กรกฎาคม 2558 ยังคงสร้างความโศกเศร้าให้กับแฟนเพลง ญาติ ๆ และครอบครัว รวมถึงบุคคลในวงการต่าง ๆ ที่ได้มาร่วมไว้อาลัยให้กับการจากไปในครั้งนี้มากมาย
ทั้งนี้ ภายในงานฌาปนกิจ สิงห์ Sqweez Animal (4 สิงหาคม 2558) ที่วัดธาตุทอง นอกจากข้อความอาลัยรักจาก เฟย์ พรปวีณ์ ที่เขียนถึง สิงห์ แล้ว ก็ยังมีข้อความสุดท้ายที่ผู้เป็นพ่ออย่าง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ได้เขียนถึง สิงห์ Sqweez Animal ลูกชายสุดที่รัก เป็นครั้งสุดท้าย โดยข้อความบางส่วนของนายวีระกานต์ ระบุไว้ดังนี้

"เมื่อเพื่อนร่วมงานของสิงห์บอกว่าจะทำหนังสืออนุสรณ์งานศพ ขอให้พ่อเขียนบทความสักชิ้นหนึ่ง พ่อก็ดีใจ ทั้งที่สมองมึนตึ้บไปหมด ด้วยว่าต้องมาสูญเสียลูกกะทันหัน ยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก พ่อเคยฝึกกรรมฐานมาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เคยคิดว่า จะต้องใช้กรรมฐานเพื่อลดความโศกเศร้า หรือระงับความอาลัย กรณีที่ต้องสูญเสียแก้วตาดวงใจ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่หลวงขนาดนี้ เมื่อจะเขียนถึงลูกพ่อก็ต้องร้องไห้ทุกวรรคทุกตอน ไหนจะสับสน เพราะมันต้องสู้กันระหว่างอารมณ์ปุถุชน กับนักเรียนกรรมฐาน แต่ในที่สุดพ่อก็จำเป็นต้องวางกรรมฐานไว้ชั่วคราว ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นตัวนำทาง
พ่อร้องไห้เพื่อสิงห์โดยไม่เสียดายน้ำตา แล้วค่อย ๆ ระลึกย้อนไปในอดีต สิงห์เป็นทารกอารมณ์ดีอ้วนจ้ำม่ำ ชอบนอนซุกหัวกับอกพ่อและแม่ น่ากอดเป็นที่สุด จนพ่อตั้งสมญาให้ว่า "เจ้าด้วงซุก" เพราะนอนขดตัวเหมือนด้วง วัยเด็กตอนเรียนอนุบาล สิงห์เคยเขียนการ์ตูนเป็นช่อง ๆ เหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นที่เด็กนิยมอ่านกัน ของสิงห์ชื่อว่า "บ้านหรรษา" เอามาฝากพ่อ แสดงถึงความรักความอบอุ่นของสมาชิกครอบครัวเรา พ่อแอบอ่านปลื้มว่าลูกโตคงได้การ
ความที่เป็นเด็กอ้วนยังแถมอารมณ์ดีอีก ชอบตลก โดยเฉพาะ "ท่าเต้นลูบเป้า" ของไมเคิล แจ็คสัน สิงห์เลียนแบบได้ครื้นเครงมาก พ่อเคยล้อเสมอว่า สิงห์ไม่ต้องเรียนสูงก็ไม่อดตาย เพราะมีงานรออยู่ คือเป็นสมาชิกตลก "เชิญยิ้ม" ของอาเป็ดและอาโน้ตสบาย ๆ
น่าเสียดายที่พอเปลี่ยนวัย บุคลิกภาพก็เปลี่ยนไป สิงห์ก้าวสู้วัยรุ่น ขณะเรียนอยู่ประเทศอังกฤษ สิงห์เริ่มควบคุมหุ่นตัวเอง เลิกเล่นตลก จากเด็กอ้วนชอบเข้าครัวผัดก๋วยเตี๋ยว ผัดข้าวให้พี่ให้น้องกิน มาเป็นเด็กหุ่นดี ใบหน้าเรียบเฉยถึงขั้นเงียบขรึม ปิดเทอมที น้อง ๆ ที่เป็นลูกของน้าและลูกของลุงออกปากว่า พี่สิงห์เป็นคนน่าเกรงขาม ไม่มีใครตอแยด้วย

สิงห์เรียนจบมัธยมแล้วเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในสาขา graphic design ทั้งที่ครูแนะแนวจากโรงเรียนบอกว่าไม่จำเป็น ให้เอาดีทางดนตรีไปได้เลย สิงห์เรียน graphic อยู่พักหนึ่งก็รู้ว่าไม่ใช่ทางแห่งความสำเร็จจึงย้ายคณะไปเรียน sound engineer แต่แล้วก็เกิดความรู้สึกเดิมอีก จึงดร็อปออกมาทำงาน music ที่เขาชอบ
ความจริงตลอดเวลาที่ว่านั้นสิงห์จับกีตาร์มากรีดเสียงเป็นประจำแล้ว เขากินนอนอยู่กับมัน ลูบคลำมัน และฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจัง เล่นเองฟังเอง หลายครั้งพ่อกำลังคุยโทรศัพท์ทางไกลข้ามทวีปกับพี่และน้อง ได้ยินเสียงกีตาร์แผดแทรกเข้ามา ต้องเตือนว่าระวังเพื่อนบ้านจะขว้างเอา จากนั้นไม่นานก็ทราบข่าวว่าสิงห์เข้าผสมวงกับเพื่อนนักเรียนไทยกลุ่มหนึ่ง เล่นดนตรีตามฝันเสียแล้ว พ่อไม่สงสัยเลยที่สิงห์ชอบดนตรี เพราะปู่ของพ่อซึ่งก็คือปู่ทวดของสิงห์เป็นนักดนตรีไทยคนสำคัญของท้องถิ่นแถวคาบสมุทรสทิงพระ ท่านฝึกฝนเองเล่นเองจนชำนาญ เป็นครูสอนคนอื่นเขาได้ นักเลงทางด้านดนตรีเรียกชื่อท่านว่า หนูปี่ เพราะชื่อจริงท่านคือนายหนูอันเป็นที่มาทางสกุล "มุสิกพงศ์" นั่นเอง
มีนิสัยประจำตัวอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้พ่อต้องครั่นคร้ามสิงห์อยู่ไม่น้อย นั่นคือความเป็นตัวของตัวเอง ความซื่อตรงต่อตัวเอง จะยกตัวอย่างให้สักเรื่องสองเรื่อง ขณะเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมในประเทศอังกฤษ โรงเรียนเขาบังคับให้นักเรียนเข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ กำหนดเป็นวิชาเลือก แต่นักเรียนคนใดไม่เข้าโบสถ์จะถูกตัดแต้ม แต่สิงห์ไม่เข้าโบสถ์ ทางบ้านทราบเรื่องนี้ เพราะทางโรงเรียนทำหนังสือแจ้งผู้ปกครองซึ่งทำเอาเราหูตาเหลือก จึงโทรศัพท์ขอทราบเหตุผล สิงห์ตอบว่าได้แจ้งให้ครูทราบตั้งแต่แรกแล้ว โดยมีเหตุผลว่าสิงห์ไม่ได้นับถือคริสต์ จึงไม่อยากเล่นละครหลอกครูเพื่อแลกกับคะแนน ยังไง ๆ ก็ไม่ยอมทำเป็นอันขาด เรื่องนี้จะโทษใครได้เล่า เพราะเมื่อเรียนอยู่ชั้นมัธยมพ่อก็เคยแสดงวีรกรรมไว้เหมือนกันลูกเอ๋ย

เรื่องที่สอง ทีนี้เป็นเรื่องทางพุทธ ตามปกติพ่อสนใจศาสนาพอ ๆ กับการเมือง จึงพาตัวไปเป็นศิษย์หลวงพ่อ หลวงปู่หลายรูป แน่ล่ะย่อมจะมีคนเมตตาให้พระเครื่องดัง ๆ มาหลายองค์ด้วย พ่อมีของรักก็อยากแบ่งให้ลูก จำได้ว่าวันหนึ่งที่สิงห์มีชื่อเสียงแล้ว พ่อก็เสนอสร้อยคอหลวงปู่ทวดให้ลูกห้อยคอไว้คุ้มภัยยามเดินทาง
ด้วยเหตุผลว่า พ่อก็รู้ว่าสิงห์นับถือพุทธ นับถือพระ แต่ขณะเดียวกัน สิงห์ก็อยู่ในวงการบันเทิงซึ่งหลีกหนีการดื่มเบียร์ไม่พ้น ถ้าสิงห์ห้อยพระสิงห์ก็ต้องยกแก้วเหล้าหรือแก้วเบียร์ขึ้นดื่มโดยข้ามเศียรพระที่ศรัทธาทุกครั้งที่ดื่ม สิงห์ทำไม่ได้ เหตุนี้สิงห์จึงไม่ห้อยพระเครื่องตลอดมา
ในวันเกิดเหตุลูกทำลายชีวิต พ่อเชื่อเหลือเกินว่าถ้าลูกมีหลวงปู่ทวดซึ่งเป็นพระศักดิ์สิทธิ์เคารพศรัทธากันมาตั้งแต่โคตรเหง้าของเราจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
คราวนี้มาดูเรื่องที่สิงห์ต้องยอมดูบ้าง เมื่อสร้างชื่อเสียงขึ้นมาจนคนรู้จักบ้างแล้วสิงห์ก็อยากเป็นนักดนตรีร็อคที่มียันต์สักตามตัวกับเขาบ้าง ครั้นนำเรื่องมาเสนอแม่แม่ก็ปฏิเสธบอกไม่ค่อยรู้เรื่องเรื่องอย่างนี้ต้องปรึกษาพ่อ เพราะพ่อชอบพาสิงห์ไปหาพระไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เนือง ๆ คงจะพอมีความรู้บ้าง
ครั้นสิงห์มาปรึกษาพ่อ พ่อก็ปฏิเสธ บอกว่าไม่ดีหรอกลูก สักยันต์นั้นทำให้ผิวเราเสีย แล้วลบไม่ออกด้วย คนสักยันต์นั้นคนคุกเขานิยมกัน ไม่ขลังอะไรหรอก ยังจะน่าเกลียดด้วย สิงห์ยังไม่ยอมในทันที ยังดึงดันที่จะขอสัก พ่อปล่อยให้เรื่องผ่านไปโดยตัดบทว่า เรายังมีเวลาคุยกันอีกหลาย ๆ ครั้ง ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน

ครั้นต่อมาสิงห์ก็นำเรื่องเข้าระเบียบวาระอีก พ่อก็ยืนกรานไม่เห็นด้วยเช่นเดิม แต่ครั้นเห็นสิงห์ยังเพียรอยู่อีก พ่อก็เลยออกไม้ตายท่าสุดท้าย กะว่าถ้าไม้นี้เอาไม่อยู่ พ่อก็ยอมอนุญาตละวะ
พ่อบอกว่าสิงห์อยากสัก เพราะเห็นว่าดีหรือเห็นว่าโก้ หรือเห็นว่าขลัง หรือจะเพราะอะไรก็ตามแต่ พ่อก็ไม่ขัดข้อง แต่... แต่พ่อขอสักด้วย เอาให้ลายพร้อยเป็นพญาพาลีไปเลย สองคนพ่อลูก
สิงห์เบรกพ่อว่า ทำยังงั้นได้ยังไง พ่อเป็นนักการเมือง เป็นผู้ใหญ่แล้วด้วย จะมาสักยันต์ได้ยังไง สิงห์อายคนแย่ พ่อยืนยันว่าถ้าสักได้ พ่อก็ควรสักได้ พ่อไม่อายใครด้วย ไหน ๆ ก็ติดคุกมาหลายครั้งแล้ว และอาจติดได้อีก สักมันเสียเลย เป็นการเตรียมตัวไว้ให้พร้อม สิงห์ส่ายหน้าปฏิเสธยิ้ม ๆ แล้วบอกเลิกประชุม ตั้งแต่นั้นมา ไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นปรึกษาอีกเลย
ก็ลูกเป็นอย่างนี้ แล้วจะไม่ให้พ่อรักหนูได้อย่างไร ลูกจากไปโดยไม่บอกลา พ่อไม่โกรธแล้ว น้อยใจนิดหน่อย แต่บัดนี้ พ่ออโหสิกรรมให้หมด รักลูกยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เสร็จงานศพพ่อจะเข้ากรรมฐานอุทิศส่วนกุศลให้ลูก จากนั้นพ่อจะชวนแม่ตั้งมูลนิธิการกุศลเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่ลูก ตั้งชื่อว่า มูลนิธิสิงห์ มุสิกพงศ์ เพื่อการดนตรี ดีใจไหมลูก"

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Puttharuk Mhong Putthiprechapong
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
, หนังสือที่ระลึกในงานฌาปนกิจ สิงห์ มุสิกพงศ์






