การทดลองเรื่องกลิ่น หนึ่งในประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของร่างกาย มาดูสิว่านักวิจัยนำกลิ่นไหนมาทดลองกันแบบแปลก ๆ บ้าง แล้วกลิ่นเหล่านั้นให้ผลอย่างไร
เรื่องของกลิ่น เป็นสิ่งที่สำคัญมากพอกับ ๆ ประสาทสัมผัสด้านอื่น ๆ เพราะกลิ่นสามารถกระตุ้นสมองของเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะในทางด้านความคิด และความรู้สึก หรือแม้แต่ภาวะอารมณ์ จึงมีนักวิทยาศาสตร์มากมายให้ความสนใจและเริ่มทำการทดลองเกี่ยวกับกลิ่นและพฤติกรรมของสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะกับมนุษย์หรือสัตว์ และนี่คือการทดลองเกี่ยวกับกลิ่นสุดพิลึกพิลั่นเท่าที่เคยมีมา แถมยังมีผลการทดลองที่น่าสนใจสุด ๆ จากนิตยสาร Secret อยากรู้ว่านักวิทยาศาสตร์ทดลองเกี่ยวกับกลิ่นอย่างไรบ้างตามไปดูกัน
กลิ่นเต่า
ในปี 1955 เคลาส์ เวเดคินต์ (Claus Wedekind) นักชีววิทยาชาวสวิส ศึกษาวิจัยเรื่องกลิ่นรักแร้ที่มีผลต่อการเลือกคู่ โดยให้เสื้อยืดคอกลมกับอาสาสมัครชายคนละตัว รวม 44 คน แล้วให้ชายหนุ่มเหล่านี้สวมเสื้อไว้เป็นเวลา 2 คืน และมีกฎว่าระหว่างนั้นต้องใช้สบู่ไร้กลิ่นและโลชั่นหลังโกนหนวดที่เขาเตรียมไว้ให้เท่านั้น เพื่อไม่ให้มีกลิ่นแปลกปลอมมากลบกลิ่นกายธรรมชาติ
หลังจากนั้นเวเดคินต์นำเสื้อที่ใส่แล้วไปจัดแยกไว้ในกล่องเปล่า ก่อนให้อาสาสมัครหญิง 49 คนมาสูดดม ผลการทดลองพบว่า ทันทีที่พวกเธอสูดดมกลิ่นกายชายที่มียีนซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายคล้ายคลึงกับตัวเอง สาวเจ้าจะนึกถึงพ่อ พี่ชาย หรือน้องชาย กลิ่นกายชายที่มียีนซึ่งระบบภูมิคุ้มกันแตกต่างกับเธอ กลับทำให้ผู้หญิงรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เวเดคินต์อธิบายว่า เพราะคนเรามักเลือกคู่ครองที่มียีนซึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันแตกต่างจากตนเอง ก่อนจะแต่งงานต้องขอดมกลิ่นที่แท้จริงก็ก่อนไหมนี่ว่าใช่คู่แท้หรือเปล่า
กลิ่นหญ้า
หลายคนชอบสูดกลิ่นหญ้าที่เพิ่งตัดเสร็จใหม่ ๆ เพราะให้ความรู้สึกสดชื่น เรื่องนี้นักวิจัยพบว่า กลิ่นสนามหญ้าสามารถทำให้คนมีความสุขและผ่อนคลายได้จริง แถมยังช่วยหลีกเลียงสภาวะสมองเสื่อมในวัยชราได้อีกด้วย เพราะกลิ่นหญ้าส่งผลกับการทำงานของสมอง
เพราะเหตุนี้ นิค ลาวิดิส (Nick Lavidis) นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย จึงคิดค้นน้ำหอมที่มีกลิ่นละม้ายคล้ายหญ้าตัดใหม่ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากการไปเที่ยวอเมริกาเมื่อหลายปีดีดักมาแล้ว เขาเล่าว่า การได้สูดกลิ่นหญ้าตัดใหม่ในสวนสาธารณะเพียงแค่ 3 วัน ทำให้เขารู้สึกราวกับได้มีวันหยุดสัก 3 เดือนก็ไม่ปาน ... เลิกขี้เกียจตัดหญ้าในสนามได้แล้ว
กลิ่นผายลม
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ ประเทศอังกฤษ ระบุว่าการสูดดมกลิ่นผายลมหรือกลิ่นก๊าซไข่เน่าเพียงน้อยนิดอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพได้
มาร์ค วู้ด (Mark Wood) นักเคมีชีวภาพ ผู้ซึ่งทำการวิจัยระบุว่า ก๊าซไฮโตรเจนซัลไฟต์ ซึ่งเกิดจากกระบวนการย่อยอาหารของแบคทีเรียนั้น แม้จะมีกลิ่นเหม็นรุนแรงเหมือนไข่เน่า แต่กลับเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยบำบัดได้หลายโรค โดยหากสูดดมเข้าไปวันละนิดวันละหน่อยอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดในสมองตีบ โรคหัวใจ โรคไขข้อ หรือแม้กระทั่งภาวะสมองเสื่อมได้ เล่าสู่กันฟังเฉย ๆ ถ้าอยากลดความเสี่ยงในการเป็นโรคดังกล่าวจริง ๆ มีอีกหลายวิธีที่ได้ผลดีกว่านี้นะคะ
กลิ่นล่อยุง
เมื่อปี 2011 เฟรดรอส โอกูมู (Fredros Okumu) ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันสุขภาพอิฟาการา ประเทศแทนซาเนีย เคยทดลองเกี่ยวกับกลิ่นที่ทำให้ถูกยุงที่มีเชื้อมาลาเรียกัด โดยติดตามศึกษายุงที่บินเข้าบ้าน 2 หลัง หลังหนึ่งมีคนนอนอยู่ในนั้น ส่วนอีกหลังนำถุงเท้าสกปรกไปกองไว้แทน
เมื่อเขาฉีดยาฆ่ายุงเข้าไปในบ้านทั้งสองหลัง ก็พบว่าบ้านที่มีถุงเท้าสกปรกมียุงมากกว่าถึง 4 เท่า นั่นเป็นเพราะยุงที่มีเชื้อมาลาเรียจะมีปฏิกิริยาตอบสนองมากเป็นพิเศษกับเชื้อแบคทีเรีย สแตฟิโลค็อกคัส (Staphyiococcus) ที่สะสมอยู่ในถุงเท้า เมื่อยุงได้กลิ่นนั้นมันจะพยายามไปกัดต้นตอของกลิ่นนั้นทันที หลังจากกัดแล้วพวกมันก็จะตายไปตามธรรมชาติ ดังนั้นการนำถุงเท้าโสโครกมาล่อยุงให้ติดกับจนตายจึงเป็นอีกวิธีในการทำลายเชื้อมาลาเรียก่อนจะแพร่สู่คน บอกตรง ๆ ว่าไม่แน่ใจว่าบาปไหนจะแรงกว่ากันระหว่างผิดศีลที่ตบยุงกับผิดศีลที่เจตนาล่อยุงไปตาย
กลิ่นความขาว
มนุษย์เราสามารถมองเห็นแสงสีขาว หรือสีที่สมองไม่สามารถประมวลได้ว่าเป็นสีอะไร และได้ยินเสียงสีขาวหรือเสียงที่ไม่สามารถประมวลได้เช่นกันว่าเป็นเสียงอะไร ล่าสุดนักวิจัยพบว่าเรายังสามารถสูดดมกลิ่นความขาวได้อีกด้วย
สถาบันวิทยาศาสตร์ไวซ์มันน์ ในประเทศอิสราเอล พบว่ากลิ่นความขาวก็ไม่ต่างกัน พวกเขาทดลองผลิตกลิ่นสีขาวขึ้นมา โดยผสมสารที่ทำให้เกิดกลิ่นที่แตกต่างกันถึง 30 กลิ่น ก่อนตั้งชื่อที่ไม่มีความหมายใด ๆ ให้ว่าโลรักซ์ (Laurax) แล้วให้อาสาสมัครมาทดลองดมกลิ่น ผลการทดลองพบว่า คนส่วนใหญ่ตอบตรงกันว่ากลิ่นความขาวนี้จะว่าหอมก็ไม่ใช่ เหม็นก็ไม่ใช่อีก พวกเขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นกลิ่นอะไรกันแน่ งานวิจัยชิ้นนี้จึงชี้ให้เห็นว่ากลิ่นความขาวนั้นมีอยู่จริง ว่าแต่จะมีการทดลองรสชาติสีขาวตามมาอีกไหมหนอ
แปลกดีใช่ไหมล่ะคะ จริง ๆ แล้วก็ยังมีความลับอีกมากมายรอให้นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์หาข้อเท็จจริงและความมหัศจรรย์ ในระหว่างนี้ใครอยากทดสอบกลิ่นละก็ ก็อย่าไปดมสุ่มสี่สุ่มห้านะไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้จมูกเสียได้แบบไม่รู้ตัว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
โดย BoyScout