พบ 4 เรื่องราวสุดลึกลับเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว ที่มายังโลกมนุษย์เพื่อลักพาตัวคนไปทดลอง ผ่านคำบอกเล่าของผู้อ้างว่าเคยเผชิญหน้ากับเหตุสุดสะพรึงมาแล้วจริง ๆ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ยังหาคำอธิบายให้ไม่ได้
เรื่องราวลึกลับของยานบินยูเอฟโอ ที่ว่ากันว่าเป็นพาหนะสุดล้ำสมัยของอาคันตุกะจากต่างดาว ยังคงเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ แม้จะมีคำบอกเล่ามายาวนานหลายสิบปี บ้างก็ว่าเป็นเรื่องละเมอเพ้อพก ในขณะที่แฟนคลับมนุษย์ต่างดาวอีกมากมายกลับขอยืนยันถวายหัว เพราะเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตนอกโลกอยู่อย่างแน่นอน
วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำเสนอเรื่องราวของมนุษย์ทั้ง 4 ที่กลายเป็นตำนานเล่าขานกันอย่างแพร่หลาย หลังจากที่เจ้าตัวเปิดเผยว่า พวกเขาเคยสัมผัสประสบการณ์เผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวมาแล้ว แถมยังได้รับเชิญให้เข้าไปในยานอวกาศอีกด้วย...แต่ว่าเป็นแขกที่มาในฐานะสิ่งทดลองน่ะสิ
- การหายตัวไปของเฟรเดริก วาเลนทิช
การหายตัวไปของเฟรเดริก วาเลนทิช เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 1978 (พ.ศ. 2521) ชายวัย 22 ปี กำลังขับเครื่องบินเซสนา 182L เหนือทะเลเบสส์ สเตรท ในออสเตรเลีย แล้วจู่ ๆ เขาก็พบว่าเหนือเครื่องบินของเขาขึ้นไป 300 เมตร มีอากาศยานลำอื่นบินวนอยู่ จึงติดต่อศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศเมลเบิร์นเพื่อแจ้งเรื่อง
แต่ในอึดใจเดียวให้หลัง เฟรเดริกบอกกับศูนย์ฯ ว่า "ไม่ใช่เครื่องบินนี่" ก่อนที่จะขาดการติดต่อไปตลอดกาล ทั้งเครื่องบินและเฟรเดริกหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเสียดื้อ ๆ
ในวันเดียวกัน มีรายงานการพบเห็นยูเอฟโอในหลายพื้นที่ทั่วโลก พร้อมกับการหายตัวไปของเฟรเดริก ที่นำมาซึ่งคำถามที่ว่า เขาหายไปไหน ? การค้นหาเฟรเดริกและเครื่องบินถูกดำเนินการอย่างเร่งด่วนในระยะ 1,600 ตารางกิโลเมตร แต่ความพยายามก็ได้หยุดลงในวันที่ 25 ตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง
ทางการออสเตรเลียอธิบายว่า เฟรเดริกเกิดอาการประสาทหลอนและขับเครื่องบินตีลังกา จนเห็นเงาสะท้อนของเครื่องบินตัวเองบนผิวทะเล และคิดไปเองว่าเป็นเครื่องบินลำอื่น ในขณะที่สาวกยูเอฟโอหลายรายเชื่อว่าเขาถูกจับไปโดยเอเลี่ยนเป็นแน่แท้
- ทราวิส วัลตัน กับยูเอฟโอในป่า
ปี 1975 (พ.ศ. 2518) ทราวิส วัลตัน ผู้รับจ้างตัดฟืนในเขตป่าสงวน อาปาเช่ ซิทกรีฟส์ รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา พร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีก 5 คน ขณะที่พวกเขาเลิกงานและกำลังเดินทางกลับบ้านนั้นเอง ก็ได้พบกับลำแสงสีเหลืองทองสว่างจ้าบนท้องฟ้า
จากนั้น วัตถุใหญ่ยักษ์รูปแผ่นดิสก์สีทองอร่าม ก็ปรากฏอยู่บนน่านฟ้าเหนือศีรษะของคนทั้ง 5 นายทราวิสผู้ไม่เกรงกลัวอะไร วิ่งเข้าใส่วัตถุประหลาดนั่นทันที ลำแสงสีฟ้าอมเขียวถูกยิงมาที่ลำตัวของเขา แล้วยกตัวเขาลอยขึ้นกลางอากาศ ท่ามกลางความตื่นตระหนกสุดขีด กลุ่มเพื่อนผู้ร่วมงานของเขาพากันขึ้นรถกระบะแล้วขับหนีจากที่เกิดเหตุทันที
ชายคนหนึ่งในกลุ่มโทรศัพท์แจ้งตำรวจเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น แม้จะไม่มีใครอยากเชื่อเขาก็ตามที แต่เจ้าหน้าที่ก็ส่งกำลังคนกว่า 50 นาย เพื่อออกค้นหาทราวิส แต่ปรากฏว่าไม่พบร่องรอยใด ๆ เลย จนกระทั่งต้องล้มเลิกการค้นหาใน 4 วันให้หลัง
ด้านทราวิสเล่าว่า เขามีสติอีกครั้งหลังจากตื่นขึ้นมา และพบว่าตัวเองกำลังนอนแผ่หลาอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นโรงพยาบาล แต่เขาคิดผิด ! เมื่อเขาพบสิ่งมีชีวิตสุดประหลาดตัวสูงราว 120 เซนติเมตร ผู้มีดวงตากลมโตเท่าไข่ห่าน กำลังยืนล้อมรอบร่างของเขาอยู่
จากนั้นเหล่ามนุษย์ต่างดาวก็สวมหน้ากากให้ทราวิส แล้วจู่ ๆ เขาก็ถูกวาร์ปร่างกายกลับมาบนโลกมนุษย์ ซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุครั้งแรกราว 48 กิโลเมตร เขาผุดลุกแล้วหยอดเหรียญตู้โทรศัพท์เพื่อบอกที่บ้านว่าเขาสบายดี โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองหายไปถึง 4 วันเต็ม ๆ
เรื่องของทราวิส กลายเป็นประเด็นที่หลายแหล่งจับตามองในเวลารวดเร็ว ในขณะที่สื่อบางเจ้าบอกว่า นายทราวิสคงจะเกิดอาการประสาทหลอนจากยาเสพติดมากกว่า
นอกจากนี้ เรื่องลึกลับดังกล่าวยังโด่งดังไกล ถึงขนาดที่ว่ามีการออกหนังสือตีแผ่ความจริง (ซึ่งเขียนโดยตัวเขาเอง) และมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกับหนังสือ เรื่อง Fire in the Sky ออกฉายเมื่อปี 1993 (พ.ศ. 2537)
- แผนที่ดวงดาว ของเบ็ตตี้และบาร์นี่ ฮิลล์
คืนวันที่ 19 กันยายน 1961 (พ.ศ. 2504) เบ็ตตี้และบาร์นี่ ฮิลล์ คู่สามีภรรยาชาวอเมริกัน กำลังขับรถกลับจากวันหยุดพักผ่อน และได้พบกับแสงประหลาดบนท้องฟ้า ทีแรกพวกเขาคิดว่าเป็นดาวตก แต่เมื่อสังเกตดี ๆ แสงที่ว่านั้นมาจากวัตถุประหลาดที่ลอยกลางอากาศต่างหาก
ยูเอฟโอลอยมาอยู่เหนือรถยนต์ของพวกเขา ใกล้มากเสียจนได้ยินเสียงเครื่องยนต์หึ่ง ๆ และรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างหนัก แล้วจู่ ๆ พวกเขาก็พบว่าตัวเองถูกวาร์ปมาอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลจากจุดแรกถึง 56 กิโลเมตร แต่ทั้งคู่ยังคงสับสน และมีอาการความจำเสื่อมชั่วขณะ
หลังจากถูกสะกดจิตโดยผู้เชี่ยวชาญ จากคณะกรรมการสืบสวนเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางอากาศแห่งชาติ (National Investigations Committee On Aerial Phenomena) เป็นเวลานานกว่า 6 เดือน ความทรงจำของพวกเขาก็ค่อย ๆ กลับมาทีละน้อย เบ็ตตี้วาดภาพแผนที่ดวงดาว และบอกเล่าว่าท่านผู้นำของยานลำดังกล่าวมาจากดาวดวงไหนในจักรวาล
นอกจากนี้ เธอยังเล่าว่า เธอและสามีถูกพาตัวขึ้นบนยานอวกาศแต่ถูกจับแยกห้องกัน จากนั้นผู้ตรวจสอบร่างกายก็เข้ามาพิจารณาตั้งแต่ดวงตา หู จมูก และลำคอ ก่อนจะนำร่างของเธอขึ้นวางบนโต๊ะ และบอกกับเธอว่าต้องการเช็กระบบประสาทของมนุษย์อย่างละเอียด ในขณะที่พวกมันเองก็ทดลองอย่างเดียวกันกับบาร์นี่ แต่ดูท่าจะสนใจในโครงสร้างกระดูกของมนุษย์เพศชายมากกว่า
- จอห์น แซลเทอร์ และการลักพาตัวที่เปี่ยมสุขที่สุด
ปี 1988 (พ.ศ. 2531) จอห์น แซลเทอร์ ศาสตราจารย์สังคมวิทยาชาวอเมริกันและลูกชาย กำลังขับรถกลับบ้านจากรัฐวิสคอนซิน มุ่งหน้าสู่รัฐมิสซิสซิปปี ก่อนจะได้ประจันหน้ากับเอเลี่ยนที่พวกเขาอ้างว่าเป็นมิตรมาก
จอห์นและลูกชายถูกจับตัวอย่างไรก็จำไม่ได้ แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ตัวเตี้ย กำลังจะทำการทดลองบางอย่างกับร่างกายของพวกเขา
ในห้องสีขาวสะอาดสว่างจ้า พวกเขาถูกสอดท่อเข้าในโพรงจมูก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองที่จอห์นอธิบายว่ามันเต็มไปด้วยความมีจริยธรรม ไม่โหดร้าย และไร้ซึ่งความเจ็บปวด
หลังถูกปล่อยตัว จอห์นรู้สึกว่าตัวเองมีสุขภาพดีขึ้นกว่าเดิม มีภูมิคุ้มกันโรคมากขึ้น บาดแผลรักษาหายรวดเร็วขึ้น เส้นผมและเล็บมือเล็บเท้ายาวไวกว่าปกติถึง 3 เท่า และที่สำคัญ ริ้วรอยตามวัยของเขากลับดูตื้นขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว
และทั้ง 4 เรื่องราวการกล่าวอ้างว่าถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปเหล่านี้ จนกระทั่งถึงปัจจุบันก็ยังคงเป็นเรื่องราวที่หาคำอธิบายไม่ได้ว่ามันได้เกิดขึ้นจริง ๆ หรือไม่ และหากไม่ใช่ ความจริงเป็นอย่างไร ทำไมคนเหล่านี้ถึงได้มีความทรงจำในเรื่องราวแปลกประหลาดและถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริงสมจังขนาดนี้กัน...
ขอบคุณข้อมูลจาก Mirror