

สำนักพุทธศาสนาสุพรรณฯ โร่แจงหลวงพ่ออู่ทอง พระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผา ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ด้านพระธรรมพุทธิมงคล เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร เผยไม่ได้มีการบุกรุกหรือระเบิดภูเขา เหตุพื้นที่ดังกล่าวเป็นเหมืองร้าง
จากกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์สนั่นโลกออนไลน์ สำหรับการก่อสร้าง พระพุทธรูปปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ หรือ "หลวงพ่ออู่ทอง" พระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผาเขาทำเทียม ณ พุทธมหาสถานเมืองโบราณอู่ทอง เขตเทศบาลตำบลท้าวอู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการรุกพื้นที่ป่าหรือไม่นั้น [อ่านข่าว : ร้องสอบ เจ้าคณะสุพรรณบุรีสร้างพระพุทธรูปแกะสลักริมผา ชี้ทำลายธรรมชาติ]

สำหรับพื้นที่ดังกล่าว แต่เดิมมีบริษัทได้สัมปทานมาระเบิดภูเขาอย่างถูกต้องเมื่อปี 2534 เป็นปีสุดท้าย หลังจากนั้นทางราชการก็ไม่ต่อสัญญา จึงปล่อยทิ้งร้างไว้ กระทั่งพระธรรมพุทธิมงคล เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ได้เข้ามาพัฒนา เพื่อทำประโยชน์แก่ชาวเมืองอู่ทองและพระพุทธศาสนาของ จ.สุพรรณบุรี โดยมีดำริที่จะสถาปนาพระพุทธรูปและสลักภูผาใหญ่ที่สุดในโลก และก่อสร้างพุทธมณฑลประจำจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ภูผามังกรบิน เขตโบราณสถานเมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี โดยพอได้รับอนุญาต ก็เริ่มดำเนินการก่อสร้างทันที และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2560

ขณะที่ พระธรรมพุทธิมงคล เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร กล่าวว่า เนื่องจาก จ.สุพรรณบุรี ยังไม่มีพุทธมณฑล หรือพื้นที่กว้างขวางสำหรับพุทธศาสนิกชน พื้นที่ก่อสร้างพระแกะสลักเป็นเนื้อที่กว้างราว 500 ไร่ ทางคณะสงฆ์ จ.สุพรรณบุรี ขอเข้าไปใช้ประโยชน์โดยผ่านทาง จ.สุพรรณบุรี และมีการขออนุญาตดำเนินการจากกรมป่าไม้อย่างถูกต้อง ไม่ได้บุกรุกหรือทำลายธรรมชาติอย่างที่หลายคนเข้าใจ
พระธรรมพุทธิมงคล กล่าวเพิ่มเติมว่า เดิมที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นเหมืองเก่าถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ ก่อนที่จะกลายเป็นที่ทิ้งขยะชาวบ้าน เมื่อเห็นว่ามีหน้าผาราบเรียบเหมาะแก่การแกะสลักพระ จึงขอรับงานแกะสลักพระจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรียินดีและอนุโมทนา และทางกรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่ตรงนี้ประมาณ 100 ไร่ ในการแกะสลักพระพุทธรูปภูผาใหญ่ที่สุดนี้

ด้าน นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า ตนเคยพาเพื่อนไปกราบไหว้พระแกะสลัก เพื่อความเป็นศิริมงคล และยังอดชื่นชมความฉลาดของคณะสงฆ์ที่รู้จักใช้พื้นที่รกร้างให้เป็นพุทธสถาน หรือพุทธมณฑล อีกทั้งยังเป็นกันชนไม่ให้ผู้คนขยายพื้นที่บุกรุกป่าเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย



ภาพจาก เฟซบุ๊ก พุทธปุษยคีรี เมืองอู่ทอง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







