x close

ย้อนปมสั่งตาย เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ หลังศาลสั่งประหาร หมอนิ่ม เซ่นโศกนาฏกรรมรัก



 

          กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้หลายคนกลับมาสนใจอีกครั้งทันที หลังศาลใช้เวลากว่า 3 ปี ในการสืบพยานจนเสร็จสิ้นและล่าสุด วันที่ 19 ธันวาคม 2559 ศาลพิพากษาให้ประหารชีวิต พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ หรือ หมอนิ่ม พร้อมทนายอี้ด คดีจ้างวานฆ่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ อดีตนักแม่นปืนทีมชาติไทย ที่เป็นข่าวดังตั้งแต่ปี 2556 ส่วนมือปืน และคนขี่จักรยานยนต์ โดนโทษจำคุกตลอดชีวิต ขณะที่มารดาหมอนิ่ม ศาลมีความเห็นให้ยกฟ้อง 

          คดีดังกล่าวได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในขณะนั้น เนื่องจากผู้เสียชีวิตเป็นนักกีฬาทีมชาติที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง อีกทั้งมือปืนสังหารยังลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมกลางท้องถนนที่มีผู้คนสัญจรพลุกพล่าน ยิ่งไปกว่านั้นตัวผู้จ้างวานฆ่าเองก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นคนที่ใกล้ชิดและไว้ใจที่สุดของผู้ตาย ทั้งนี้ ทีมข่าวกระปุกดอทคอมจึงขอย้อนรอยต้นเหตุของโศกนาฏกรรมรักในครั้งนี้อีกครั้งดังต่อไปนี้  


11 กรกฎาคม 2556

            นางบุญคิด พณิชย์ผาติกรรม และ พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ หรือ หมอนิ่ม แม่ของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ และภรรยาของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังถูกเอ็กซ์ทำร้ายร่างกายและใช้ปืนข่มขู่ โดยอ้างว่า เอ็กซ์ติดยาไอซ์อย่างหนักจนประสาทหลอน ขณะที่ทางด้าน เอ็กซ์ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาเคยเสพยาเสพติดจริง แต่ปัจจุบันได้เลิกหมดแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นแค่ปัญหาหึงหวงเท่านั้น

         
12 กรกฎาคม 2556

            ตำรวจได้บุกค้นบ้านของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ โดยพบมีวัตถุคล้ายเครื่องเสพสารบางอย่าง และที่บรรจุสารบางอย่างทั้งเก่าและใหม่จำนวนมากจึงเก็บไว้เป็นหลักฐานก่อนนำไปตรวจสอบ อีกทั้งพบปืนออโตเมติก 2 กระบอก บรรจุเครื่องกระสุนปืน, ปืนลูกซองยาว 1 กระบอก, ปืนยาวคล้ายปืน เอ็ม 16 อยู่ในตู้ 1 กระบอก และข้างเตียงนอนพบมีดสปาร์ต้า 1 เล่ม ซึ่งตรงตามที่ พญ.นิธิวดี แจ้งว่าถูกใช้มีดเล่มดังกล่าวข่มขู่

         
13 กรกฎาคม 2556

            ตำรวจจับกุมตัว เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พร้อมตั้ง 4 ข้อหาหนัก ทั้งพยายามฆ่าผู้อื่น ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และกระทำความรุนแรงในครอบครัว พร้อมกับคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาอาจจะกลับไปทำร้ายหรือข่มขู่พยาน

         
15 กรกฎาคม 2556

            เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัว เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ จากห้องขังนำตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดมีนบุรี โดยแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีก 4 ข้อหา คือ มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวโดยการใช้กำลังขู่เข็ญ และขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงาน รวม 8 ข้อหาเพิ่ม พร้อมคัดค้านการประกันตัว


18 กรกฎาคม 2556

            พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ ภรรยา เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พร้อมญาติ ปลอมหนังสือมอบอำนาจเข้าไปไขเอาทรัพย์สินมูลค่า 60 ล้านบาทของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ในตู้เซฟที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขาภิบาล 3

         
19 สิงหาคม 2556

            คดีถูกโอนไปยังศาลทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม และมีการยื่นขอประกันตัวเป็นครั้งที่ 4 กระทั่งศาลอนุญาตให้ปล่อยตัว เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ชั่วคราว หลังจากหมอนิ่มคัดค้านมา 3 ครั้ง

            หลังออกจากเรือนจำแล้ว เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ได้ปรึกษาปัญหาครอบครัวและเคยเปรยกับพยานสำคัญรายหนึ่งว่า "จะมีลมหายใจอยู่ถึงเมื่อไรยังไม่รู้" ส่วนทางคนในครอบครัวของหมอนิ่มเองก็เคยทะเลาะเบาะแว้งกับ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ทั้งเคยชี้หน้าด่าทอและเคยถูกขู่ฆ่าเอาชีวิตกันด้วย

            พยานปากสำคัญ ยังเผยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกว่า ในครอบครัวของหมอนิ่ม จะมี "แม่ใหญ่" ซึ่งเป็นแม่ของพี่ชายต่างมารดาของหมอนิ่ม ที่หมอนิ่มเคารพนับถือ โดยเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ได้ทะเลาะกับหมอนิ่มหลายต่อหลายครั้ง และพยายามจะขอคืนดีด้วย แต่หมอนิ่มไม่ยอม ด้านเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ จึงโทร. ไปขอความช่วยเหลือจากแม่ใหญ่ หวังให้ครอบครัวกลับมาอบอุ่นเหมือนเดิม

            เมื่อแม่ใหญ่รับปากว่าจะช่วยให้ทั้งคู่คืนดีกัน เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ดีใจมาก แต่ฝั่งแม่ใหญ่ลืมกดวางสายโทรศัพท์ ทำให้เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ได้ยินว่าแม่ใหญ่คุยกับคนในครอบครัวประมาณ 3-4 คน ด่าทอเจ้าตัวอย่างสาดเสียเทเสีย และมีการวางแผนกำจัดให้พ้นออกไปจากครอบครัว อีกทั้งยังมีการพูดถึงทรัพย์สินหลายอย่างด้วย ทำให้เอ็กซ์เก็บอารมณ์ไม่อยู่ เดินทางไปอาละวาดที่บ้านแม่ใหญ่ทันที และได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "ถ้ากูพกปืนได้เหมือนเมื่อก่อน พวกมึงจบไปแล้ว"

          
4 กันยายน 2556

            เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ แจ้งความว่า ถูกภรรยาลักลอบขนทรัพย์สินในตู้นิรภัย ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขาภิบาล 3 ทั้งที่เคยตกลงกับธนาคารไว้แล้วว่า เอ็กซ์ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเปิดตู้นิรภัยนี้ได้ แต่ทางธนาคารกลับยินยอมให้ภรรยาเข้าไปเปิดตู้โดยไม่ต้องเซ็นเอกสารใด ๆ เลย ดังนั้นจึงเชื่อว่าน่าจะมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังพยายามจะดิสเครดิต

         
5 กันยายน 2556




           หมอนิ่มปฏิเสธข้อกล่าวหาลักทรัพย์จากตู้เซฟของธนาคาร โดยระบุว่า ก่อนหน้านี้ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เคยมอบกุญแจเซฟไว้ให้ 1 ดอก และอนุญาตให้ไขได้ตลอดเพราะถือเป็นทรัพย์สินร่วมกัน โดยเล่าว่าในช่วงที่ไปเยี่ยม เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ในเรือนจำ โดนขู่ว่าหากออกจากเรือนจำไปได้จะนำทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดไปซื้อรถยนต์และไปอยู่กับผู้หญิงคนใหม่ และในฐานะแม่จึงต้องกันทรัพย์สินส่วนหนึ่งไว้เพื่อลูก จึงได้เข้าไปเปิดตู้นิรภัย แต่หยิบมาเฉพาะทรัพย์สินส่วนตัวบางส่วนที่ทำร่วมกันมา

            ทั้งนี้ หมอนิ่ม ยังบอกด้วยว่า หลังจาก เอ็กซ์ ออกจากเรือนจำมา แม้จะไม่มีพฤติกรรมข่มขู่ ติดตามทำร้ายอย่างชัดเจน แต่มีคำพูดบางอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจ เพราะเคยขู่ว่าจะทำให้หมอนิ่มหมดอนาคตในวิชาชีพด้วยการทำให้ถูกยึดใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ และเอ็กซ์ ก็เคยพูดว่า จะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมสมบูรณ์แบบ ซึ่งหมายถึงการฆ่าทุกคนให้ตายและฆ่าตัวเองตายตาม เพื่อจะได้ไม่มีใครต้องรับโทษ หมอนิ่มจึงต้องขอให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ ช่วยคุ้มครองตัวเองและลูกทั้ง 2 คน

            อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจก็คือ หมอนิ่ม ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเองเพิ่งแท้งลูกที่ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 2 เดือนครึ่ง เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อ 2-3 วันก่อน ซึ่งสาเหตุที่แท้งอาจเป็นเพราะความเครียด และตนอาจจะอายุมากแล้ว แต่ยังต้องทำงานอยู่ พร้อมยืนยันว่าไม่ได้ถูกทำร้ายจนแท้ง

         
19 กันยายน 2556




            เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ได้มอบดอกไม้ง้อพร้อมกับขอโทษหมอนิ่ม โดยมีนางปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นคนกลางเข้าไกล่เกลี่ย ซึ่งหมอนิ่มก็บอกว่าให้อภัยเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ แต่ยังไม่ขอกลับไปอยู่ด้วย เพราะต้องการให้พิสูจน์ตัวเองก่อน

         
19 ตุลาคม 2556

            เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ถูกคนร้ายขี่มอเตอร์ไซค์ ประกบยิงเสียชีวิตคารถปอร์เช่ สีดำ บริเวณหน้าวัดบางเพ็งใต้ สุขาภิบาล 3 เขตมีนบุรี ซึ่งทางหมอนิ่ม พอได้รับรู้ข่าวนี้ก็รีบมายังที่เกิดเหตุภายใน 5 นาที พร้อมกับช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนนำตัวเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ส่งโรงพยาบาลเสรีรักษ์ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

         
24 ตุลาคม 2556

            ตำรวจเริ่มมุ่งเน้นประเด็นไปที่ความขัดแย้งในครอบครัวเป็นหลัก เนื่องจากสืบสวนพบว่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เคยมีปากเสียงอย่างรุนแรงกับพี่ชายต่างมารดาของหมอนิ่ม และพี่ชายคนนี้ก็เป็นผู้พาหมอนิ่มไปหานางปวีณา ทำให้เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ต้องติดคุก

            นอกจากนี้ ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งคือ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เตรียมแถลงข่าวเปิดโปงผู้อยู่เบื้องหลังการนำทรัพย์สินออกจากตู้เซฟ โดยได้ติดต่อนักข่าวคนหนึ่งเอาไว้ เพื่อแถลงข่าวในวันที่ 18 ตุลาคม 2556 แต่ว่ามี เสธ. คนหนึ่ง บอกให้ยุติการแถลงข่าวและยกฟ้องธนาคารกสิกรไทย

            พร้อมกันนั้น จดหมายที่เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เขียนถึงนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2556 ได้ถูกเผยแพร่ มีใจความว่า ทางหมอนิ่มและแม่ของตนถูกเพื่อนคนหนึ่ง ยศ พ.ต.ท. พูดคุยและกล่อมว่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ติดยาเสพติด ทำให้ทางครอบครัวเกิดความกลัวและกังวลใจ นอกจากนี้ยังยุให้เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เปลี่ยนนายประกัน และเกลี้ยกล่อมให้เข้ารักษาอาการทางจิต เพื่อทำให้กลายเป็นบุคคลไร้สภาพ ไม่มีอำนาจจัดการด้านทรัพย์สิน ขณะที่ตู้เซฟของธนาคารกสิกรไทย จะถูกเปิดได้นั้นจะต้องมีลายเซ็นของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ และกุญแจ 1 ดอกเท่านั้น

            ขณะที่ พ.ต.ท. รัฐวิทย์ แสนทวีสุข บุคคลที่ถูกเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ กล่าวถึงในจดหมาย ก็ออกมายืนยันว่า ไม่ได้หวังฮุบสมบัติของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ แต่อย่างใด แต่ที่ทำไปเพราะต้องการให้เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เลิกยา เนื่องจากตนกับหมอนิ่มสนิทกัน จึงทำให้รับรู้ปัญหาในครอบครัวว่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ทำร้ายหมอนิ่มจนไม่กล้าเข้าใกล้ ส่วนประเด็นในจดหมายที่บอกว่าไม่ชอบตน นั่นเป็นเพราะตนหลอกเอ็กซ์ไปบำบัดยาเสพติด
         
26 ตุลาคม 2556

            ตำรวจเริ่มมุ่งเน้นไปที่ประเด็นครอบครัวอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับรายงานว่า วันที่ 15 ตุลาคม 2556 ซึ่งเป็นวันก่อนเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เสียชีวิต 4 วัน เอ็กซ์และหมอนิ่มมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง มีการพยายามทำร้ายหมอนิ่ม ก่อนที่เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ จะขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ ตำรวจจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า คนใกล้ตัวหมอนิ่มเป็นผู้บงการ เนื่องจากทนพฤติกรรมเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ไม่ไหว

            ส่วนคนร้ายนั้นต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการยิงปืนเป็นอย่างมาก เพราะใช้ปืนขนาด 7.65 ที่น่าจะผลิตตามชายแดนประเทศรัสเซีย และดัดแปลงปืนให้สามารถใช้กับกระสุนปืนขนาด 9 มม. ได้

         
28 ตุลาคม 2556

            เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า ก่อนที่มือปืนจะยิงเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ จนเสียชีวิตนั้น ดูจากลักษณะแล้ว ไม่ใช่การสะกดรอยตาม แต่เป็นการส่งซิกและยิง นั่นหมายถึงว่า อาจจะเป็นคนในครอบครัวซึ่งรู้ความเคลื่อนไหวของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เป็นอย่างดี เป็นผู้บอกข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นพี่ชายต่างมารดาทั้ง 2 คนของหมอนิ่มก็เป็นได้

         
30 ตุลาคม 2556

            ตำรวจสืบพบว่า นายจักรกฤษณ์ เคยทะเลาะกับครอบครัวของหมอนิ่ม ที่ให้พี่น้องกู้เงินถึง 500,000 บาท และกำลังตรวจสอบกรณีที่นายจักรกฤษณ์เคยนำปืนไปยิงใส่ป้อมยามหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่พี่ชายของหมอนิ่มเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งอาจเป็นประเด็นหนึ่งที่นำไปสู่การลอบสังหารก็เป็นได้


5 พฤศจิกายน 2556

            เจ้าหน้าที่ตำรวจพุ่งประเด็นการสังหารไปยังความขัดแย้งระหว่าง เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ และครอบครัวของหมอนิ่ม พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ โดยออกหมายเรียกเครือญาติของหมอนิ่มมาทำการสอบสวน 4 คน ประกอบด้วย พี่ชายต่างมารดาของหมอนิ่ม นายโต้ง นายหนุ่ย และทหารอีกนายหนึ่ง และฝ่ายสืบสวนยังพบเบาะแสผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าเป็นทีมสังหารแล้ว

            นอกจากนี้ ยังพบว่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ รู้ตัวว่ามีคนปองร้ายก่อนเสียชีวิตประมาณ 1 เดือน จนต้องเปลี่ยนที่พักบ่อยครั้ง


7 พฤศจิกายน 2556





           หมอนิ่ม ปฏิเสธข่าวที่ว่า เธอไม่ยอมตอบคำถามสื่อมวลชน และไม่ให้ความร่วมมือเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยระบุว่า ช่วงที่ผ่านมาต้องพาลูก ๆ ไปเที่ยวทะเลตามคำสัญญาที่นายจักรกฤษณ์เคยให้ไว้กับลูก พร้อมกับยอมรับว่า เคยทะเลาะกับนายจักรกฤษณ์ก่อนจะเกิดเหตุลอบยิงไม่กี่วันจริง แต่สาเหตุเกิดจากนายจักรกฤษณ์เข้าใจผิดว่าตนแชทคุยโทรศัพท์กับคนอื่นในร้านทำผม จึงเดินมาถามเฉย ๆ ไม่ได้มีเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้น

           อย่างไรก็ตาม หมอนิ่ม บอกด้วยว่า มีสื่อหลายฉบับที่ลงข่าวบิดเบือน เพราะบางเรื่องตนเองก็ไม่เคยให้สัมภาษณ์ แต่กลับนำข่าวไปลงเองแบบผิด ๆ


 9 พฤศจิกายน 2556





            กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้แถลงข่าวการจับกุมตัวนายจิรศักดิ์ หรือจี กลิ่นคล้าย อายุ 33 ปี มือปืนลอบสังหาร เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ โดยสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างจากทนายอี๊ด นายสันติ ทองเสม ด้วยค่าจ้าง 2 แสนบาท โดยแบ่งกับนายอ้น ธวัชชัย เพชรโชติ คนขับขี่รถจักรยานยนต์คนละ 1 แสนบาท ก่อนแยกย้ายกันหลบหนี


10 พฤศจิกายน 2556

            พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในขณะนั้น พร้อมชุดสืบสวนได้แถลงข่าวการจับกุม น.ส.วรพรรณภูรี มนตรีอารีกุล หรือ เจ๊แหม่ม ผู้จัดหาทีมสังหารนายจักรกฤษณ์ โดยให้การรับสารภาพว่ารับจ้างจาก นางสุรางค์ ดวงจินดา มารดาของ พญ.นิธิวดี และ พญ.นิธิวดี ในราคา 1.2 ล้านบาท

            โดย เจ๊แหม่ม สารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุ 3-4 เดือน นางสุรางค์ได้มาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี เพราะลูกสาวถูกนายจักรกฤษณ์ทำร้ายเป็นประจำ จากนั้นในวันที่ 29 กรกฎาคม 2556 ตนจึงพา นายสันติ ทองเสม หรือทนายอี๊ด ซึ่งมีความสามารถในการจัดหามือปืน ไปพบนางสุรางค์ที่โรงพยาบาล และต้องแอบคุยกัน เนื่องจากหมอนิ่มนอนพักรักษาตัวจากการแท้งลูกอยู่บนเตียง

          "รู้จักกับน้องนิ่ม คุณแม่และน้องเอ็กซ์มานาน กว่า 7 ปีแล้ว ทราบข่าวว่าน้องเอ็กซ์ทำร้ายภรรยาโดยตลอด วันเกิดเหตุน้องนิ่มแท้งลูกเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.เสรีรักษ์ คุณแม่ได้เรียกแหม่มไปพบที่โรงพยาบาล ขอความช่วยเหลือให้ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้หน่อย จึงพาทนายไปพบและได้คุยกับแม่ ซึ่งแอบคุยโดยที่หมอนิ่มเองนอนอยู่บนเตียง ทนายอิ๊ดขอค่าดำเนินการ 6 แสน ซึ่งดิฉันไม่รู้ว่าดำเนินการอย่างไร ต่อมาผ่านไปสักระยะทนายอี๊ดแจ้งว่างานยังไม่เรียบร้อยขอค่าดำเนินการเพิ่มอีก 6 แสนบาท ซึ่งหลังได้เงินงวดสุดท้าย ไม่สามารถติดต่อทนายอี๊ดได้เลย" นางวรพรรณภูรี ให้สัมภาษณ์ไว้


11 พฤศจิกายน 2556

            นางสุรางค์ ดวงจินดา แม่หมอนิ่ม เข้ามอบตัวรับทราบข้อกล่าวหา โดยรับสารภาพว่าจ้างมือปืนฆ่าเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ จริง เพราะแค้นที่ลูกสาวโดนซ้อมบ่อย ๆ แม้ว่าในช่วงที่ลูกสาวท้องลูกคนที่ 3 อยู่ แต่ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ก็ยังทำร้ายจนทำให้แท้งลูก นอกจากนี้ เอ็กซ์ ยังเคยเอาปืนมาขู่ตนด้วย จึงทนไม่ไหว

            "กระทั่งมีปัญหาครั้งล่าสุดที่มีการร้องขอความช่วยเหลือจากนางปวีณา แล้วเอ็กซ์ต้องเข้าเรือนจำ พอออกมาแล้วคิดว่าเอ็กซ์ จะดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ดี ยังทำร้ายทุบตียิ่งร้ายขึ้นทุกวันไม่ใช่ว่าทำน้อยลง ก่อนมาแจ้ง รมว.พม. ก็ทำร้ายจนหมอนิ่มแท้ง เขาทำได้อย่างไรทั้งที่รู้ว่ามีลูก ถามว่าทุกคนจะทำใจได้หรือไม่ ส่วนตัวแม่ทำใจไม่ได้ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะรอให้ลูกตายก่อนหรือ แม่ทนไม่ได้ที่จะเป็นแบบนั้น"






            ด้าน พญ.นิธิวดี ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกเสียใจที่แม่ต้องมาทำผิดเพราะตน ซึ่งสาเหตุที่แม่ทำเช่นนี้เพราะทนไม่ได้ที่นายจักรกฤษณ์ทำร้ายตนเองมาตลอด แม้แต่ตอนที่ตนท้องลูกคนที่ 3 นายจักรกฤษณ์ก็ทราบว่าตนท้อง แต่ก็ยังทำร้ายจนแท้งลูก

          "พี่เอ็กซ์ใช้ความรุนแรงมาโดยตลอดและมากขึ้นเรื่อย ๆ แม่ทนไม่ได้ แม่เจ็บกว่าเรามาก แม่เห็นอยู่เป็นประจำ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อท้องคนที่ 3 พี่เอ็กซ์ก็ทราบว่าดิฉันท้องอยู่ แต่ก็ยังทำร้าย คนเป็นแม่จะรู้สึกอย่างไร ดิฉันแท้งลูก แม่ดิฉันเจ็บกว่าดิฉันมาก โดยพี่เอ็กซ์ได้ชกที่ท้องหลายครั้งตอนที่ท้อง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แท้งร่วมกับสาเหตุอื่น ๆ มาประกอบ"






            ภายหลัง ตำรวจ สน.มีนบุรี ให้ นางสุรางค์ ดวงจินดา แม่หมอนิ่ม พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ ประกันตัวสู้คดีในชั้นศาล โดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท เนื่องจากเห็นว่าผู้ต้องหาไม่มีเจตนาหลบหนี และเข้ามอบตัวเอง ซึ่งจากการสอบประวัติไม่เคยทำความผิด หรือเป็นผู้มีอิทธิพลใด ๆ

 
12 พฤศจิกายน 2556

           นายสันติ ทองเสม หรือทนายอี๊ด ที่ถูกพาดพิงว่าเป็นผู้ว่าจ้างและจัดหามือปืน ได้เข้ามอบตัวและปฏิเสธว่าเป็นผู้จ้างวานฆ่านายจักรกฤษณ์ โดยยอมรับว่า รู้จักเจ๊แหม่มจริง เพราะเคยทำคดีเกี่ยวกับหนี้สินให้ แต่ไม่ได้สนิทสนมเป็นการส่วนตัว ส่วนนายจิรศักดิ์ที่เป็นมือปืนนั้น ก็เคยเจอกันจริง  แต่ส่วนตัวไม่รู้ว่านายจิรศักดิ์ประกอบอาชีพอะไร พร้อมยืนยันว่า ไม่เคยพบ หรือรู้จักมารดาของหมอนิ่มมาก่อน ซึ่งตำรวจไม่อนุญาตให้ประกันตัวทนายอี๊ด เนื่องจากกลัวจะออกไปข่มขู่พยาน

18 พฤศจิกายน 2556

          นายมานพ พณิชย์ผาติกรรม บิดาของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ยื่นขอเป็นผู้จัดการมรดก จนทำให้ พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ ไม่พอใจ พร้อมกับโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวตำหนิคนที่จะมาเอาสมบัติของหลานไปว่า "หน้าไม่อาย" โดยนายมานพ พณิชย์ผาติกรรม ให้สัมภาษณ์ว่า ในทางคดีครอบครัวปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎหมาย ซึ่งตอนนี้ตน ภรรยา และครอบครัวมีสิ่งเดียวที่คิดถึงคือ หลาน อยากบอกว่าคิดถึงมาก เพราะเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจ ซึ่งหลังจากงานศพ เอ็กซ์ ก็ไม่ได้เจอหลานอีกเลย

          ด้าน นางบุญคิด พณิชย์ผาติกรรม มารดาของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนและสามีได้เดินทางไปเยี่ยมหลานทั้งสอง มีโอกาสได้คุยกับ พญ.นิธิวดี เกี่ยวกับการเข้าไปเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่ง พญ.นิธิวดี ก็บอกว่าแล้วแต่คุณพ่อ ซึ่งตอนนี้ตนก็ยังรู้สึกงงว่าทำไมลูกสะใภ้ถึงโพสต์ข้อความแบบนั้น และการที่นายมานพจะเข้าไปจัดการมรดกก็เพื่อดูแลพิทักษ์ทรัพย์สินให้หลานเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไร


27 มกราคม 2557

           นายมานพ พณิชย์ผาติกรรม บิดาของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ขอศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สั่งให้เป็นผู้จัดการมรดกของบุตรชายเพียงผู้เดียว โดยยืนยันว่าไม่ต้องการทรัพย์สิน แต่ต้องการให้เกิดความเป็นธรรมเท่านั้น

 10 สิงหาคม 2557

           เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม นายธวัชชัย เพชรโชติ หรือ อ้น ผู้ทำหน้าที่ขี่จักรยานยนต์ขณะก่อเหตุ โดยรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 เดือน ได้รับการติดต่อจากนายสันติ ทองเสม หรือ ทนายอี๊ด ให้ไปยิงนายจักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม โดยทนายอี้ดให้ข้อมูลเพียงว่า ได้รับการว่าจ้างจากหญิงไม่ทราบชื่อให้ไปยิงนายจักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม ด้วยค่าจ้าง 600,000 บาท ซึ่งทนายอี้ด จะแบ่งค่าจ้างดังกล่าวให้พวกตนคนละ 200,000 บาท และในวันเกิดเหตุทนายอี้ด ได้โทรศัพท์ชี้เป้าให้พวกตน หลังเกิดเหตุพวกตนได้หลบหนีไปอยู่ที่ จ.ฉะเชิงเทรา ก่อนที่จะหลบหนีลงไปยังภาคใต้ เพื่อไปซ่อนตัวที่ อ.จะนะ จ.สงขลา จนกระทั่งมาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้ในที่สุด


11 สิงหาคม 2557



 
          ตำรวจควบคุมตัว นายธวัชชัย เพชรโชติ หรือ อ้น มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ จำนวน 5 จุด ได้แก่

          จุดที่ 1 ปากซอยรามคำแหง 174 ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ต้องหารับว่า เป็นจุดที่ใช้รถกระบะอำพรางมาคอยเฝ้าสังเกตดูความเคลื่อนไหวนานกว่า 20 วัน และเป็นจุดที่ได้รับการติดต่อจาก ทนายอี๊ด ยืนยันว่า นายจักรกฤษณ์ ขับรถออกมาจากซอยมุ่งหน้าไปซอยรามคำแหง 166 ในวันเกิดเหตุ

          จุดที่ 2 บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ ปากซอยรามคำแหง 174 ริม ถ.รามคำแหง ซึ่งเป็นจุดที่ขี่รถจักรยานยนต์พามือปืนไปลงมือยิง

          จุดที่ 3 คือ บริเวณปากซอยรามคำแหง 166 ซึ่ง นายธวัชชัย ได้ขี่รถจักรยานยนต์แซงขวา ให้มือปืนลงมือยิง ก่อนจะหลบหนีไปทางซอยมิสทีนที่อยู่ห่างออกไปราว 500 เมตร

          จุดที่ 4 ตำรวจพา นายธวัชชัย ไปที่ห้องพักรายวัน ซึ่งเปิดไว้สำหรับพักค้างคืนระหว่างเฝ้าสังเกตการณ์ตลอดเวลาเกือบเดือน ในซอยรามคำแหง 187/1 แยก 4 และเป็นจุดที่ ทนายอี๊ด ได้นำเงินค่าจ้างมามอบให้ 2 แสนบาท เป็นค่ามัดจำ

          จุดที่ 5 บริเวณปากซอยถนนราษฎร์พัฒนา หรือ ซอยมิสทีน ซึ่งผู้ต้องหารับว่าได้หลบหนีมาทางซอยนี้ ไปทางหมู่บ้านนักกีฬาและไปกบดานในจังหวัดฉะเชิงเทรา ก่อนที่สุดท้ายจะย้ายไปประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไปในจังหวัดสงขลา

          หลังการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตำรวจได้คุมตัวนายธวัชชัย ไปฝากขังที่ศาลจังหวัดมีนบุรี พร้อมคัดค้านการประกันตัว

11 สิงหาคม 2557




          เฟซบุ๊ก เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ซึ่งเป็นแฟนเพจของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เผยแพร่ภาพคล้าย หมอนิ่ม นิธิวดี ภู่เจริญยศ ขณะที่กำลังโอบกอดกับชายคนหนึ่ง ซึ่งใต้ภาพของรูปดังกล่าวมีข้อความระบุว่า... "ภาพล่าสุด...ดูเธอมีความสุขดี มีความสุขให้พอนะ หวังว่าคงไม่นานเกินรอ หนีอะไรหนีได้ แต่เวรกรรมไม่เคยปรานีใคร จำไว้...!!!" โดยบรรดาผู้ที่ได้เห็นภาพดังกล่าว ได้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่ระบุว่า ถึงแม้ทางตำรวจจะจับมือปืนที่สังหาร เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ คนล่าสุดได้ แต่คนบงการตัวจริงก็ยังลอยนวลในสังคม

3 ธันวาคม 2557

            ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์พิพากษาให้ทั้ง 2 ฝ่าย ได้แก่ พ่อเอ็กซ์ จักรกฤษณ์-หมอนิ่ม เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน โดยให้เหตุผลว่าผู้ร้องเป็นบิดาโดยธรรม ส่วน พญ.นิธิวดี เป็นมารดาของบุตร 2 คน ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ โดยก่อนเสียชีวิตได้ให้การรับรองบุตร นอกจากนั้นทรัพย์สินทั้งหมดของทั้ง 2 ฝ่ายหามาได้ร่วมกัน ขณะที่ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนกรณีที่ พญ.นิธิวดี ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกับมารดา ในคดีฆ่าและจ้างวานฆ่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ คดียังอยู่ระหว่างการพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรี จึงถือว่าจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์

19 ธันวาคม 2559

          ศาลมีนบุรี มีคำสั่งตัดสินประหารชีวิต แพทย์หญิงนิธิวดี ภู่เจริญยศ หรือหมอนิ่ม ในคดีจ้างวานฆ่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตสามีและอดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย ส่วนทนาย มือปืน และคนขี่รถจักรยานยนต์ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต และยกฟ้องมารดาหมอนิ่ม

         ด้าน นางสมคิด พณิชย์ผาติกรรม มารดาของนายจักรกฤษณ์ กล่าวหลังทราบผลตัดสินคดีดังกล่าว โดยเผยทั้งน้ำตาว่า รู้สึกเห็นด้วยกับศาลที่พิจารณาตัดสิน ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตนมีความรู้สึกทุกข์ใจมาโดยตลอด และได้อโหสิกรรมให้กับผู้กระทำผิดมานานแล้ว ตอนนี้ตนรู้สึกห่วงอนาคตของหลานทั้งสองคนมากกว่า


ภาพจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ย้อนปมสั่งตาย เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ หลังศาลสั่งประหาร หมอนิ่ม เซ่นโศกนาฏกรรมรัก อัปเดตล่าสุด 20 ธันวาคม 2559 เวลา 08:39:44 173,551 อ่าน
TOP