พยานปากเอกคดีครูแพะ เผยเห็นเหตุการณ์คนขับรถชนเป็นผู้ชาย ชี้ในชั้นสอบสวนตำรวจไม่ถามว่าคนชนเป็นเพศไหน ชี้ที่ออกมาพูดเพราะอยากช่วยครู ยอมรับว่ากลัวโดนฆ่าเหมือนกัน
วันที่ 18 มกราคม 2560 นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ วัย 61 ปี พยานในคดีครูจอมทรัพย์ ถูกกล่าวหาขับรถชนคนตายเมื่อปี พ.ศ. 2548 ได้ออกมาเปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุตนไปงานบุญแจกข้าวบ้านญาติพร้อมเพื่อน จนเมื่อเวลา 19.30 น. ก็ได้ชวนกันกลับบ้านที่ ต.นาคู่ อ.นาแก จ.นครพนม โดยขณะขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านงานก็มีเพื่อนซ้อนท้าย กระทั่งขี่มาได้ประมาณ 20 เมตร ก็มีรถกระบะคันหนึ่งขับตามมาด้วยความเร็วสูงก่อนจะแซงตนไป ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่นายเหลือ ผู้เสียชีวิต ได้ขี่จักรยานข้ามฟากมาจากอีกฝั่ง ก่อนที่รถกระบะคันดังกล่าวจะชนร่างของนายเหลือจนเสียชีวิตดังกล่าว
นางทัศนีย์ เล่าอีกว่า ตนเห็นคนขับรถกระบะเป็นชายรูปร่างท้วม สวมเสื้อแขนยาวสีดำ รองเท้าหนัง เปิดประตูเดินลงจากรถมานั่งยอง ๆ ดูว่านายเหลือเสียชีวิตหรือไม่ ก่อนจะเดินขึ้นรถและขับหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตนจำเลขทะเบียนได้แม่นคือหมายเลข 56 แต่ไม่แน่ใจหมวดอักษรว่าเป็น บค หรือ บต และไม่เห็นหมวดจังหวัด และจำสีรถไม่ได้ แต่จำได้แม่นว่ารถกระบะคันนี้ติดหลังคาแครี่บอย ถึงจะมืดมากแต่หน้ารถตนเปิดไฟจึงส่องเห็นทางด้านท้ายรถกระบะชัดเจน จึงขอย้ำว่า รถคันก่อเหตุ ติดหลังคาแครี่บอยแน่นอน
นางทัศนีย์ กล่าวต่อไปว่า หลังจากเกิดเหตุประมาณ 1 สัปดาห์ ตนก็ได้รับหมายเรียกให้ไปขึ้นศาล ตนก็เล่าเหตุการณ์ตามที่เห็น แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ถามว่าคนขับรถชนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย กระทั่งไปขึ้นศาลแล้วศาลถามว่า คนขับเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จึงตอบว่าเป็นผู้ชาย ศาลจึงถามต่อว่าทำไมไม่ให้ปากคำต่อพนักงานชั้นสอบสวน ตนจึงตอบว่า เขาไม่ได้ถาม จึงไม่ได้พูดประเด็นนี้
วันที่ 18 มกราคม 2560 นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ วัย 61 ปี พยานในคดีครูจอมทรัพย์ ถูกกล่าวหาขับรถชนคนตายเมื่อปี พ.ศ. 2548 ได้ออกมาเปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุตนไปงานบุญแจกข้าวบ้านญาติพร้อมเพื่อน จนเมื่อเวลา 19.30 น. ก็ได้ชวนกันกลับบ้านที่ ต.นาคู่ อ.นาแก จ.นครพนม โดยขณะขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านงานก็มีเพื่อนซ้อนท้าย กระทั่งขี่มาได้ประมาณ 20 เมตร ก็มีรถกระบะคันหนึ่งขับตามมาด้วยความเร็วสูงก่อนจะแซงตนไป ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่นายเหลือ ผู้เสียชีวิต ได้ขี่จักรยานข้ามฟากมาจากอีกฝั่ง ก่อนที่รถกระบะคันดังกล่าวจะชนร่างของนายเหลือจนเสียชีวิตดังกล่าว
นางทัศนีย์ เล่าอีกว่า ตนเห็นคนขับรถกระบะเป็นชายรูปร่างท้วม สวมเสื้อแขนยาวสีดำ รองเท้าหนัง เปิดประตูเดินลงจากรถมานั่งยอง ๆ ดูว่านายเหลือเสียชีวิตหรือไม่ ก่อนจะเดินขึ้นรถและขับหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตนจำเลขทะเบียนได้แม่นคือหมายเลข 56 แต่ไม่แน่ใจหมวดอักษรว่าเป็น บค หรือ บต และไม่เห็นหมวดจังหวัด และจำสีรถไม่ได้ แต่จำได้แม่นว่ารถกระบะคันนี้ติดหลังคาแครี่บอย ถึงจะมืดมากแต่หน้ารถตนเปิดไฟจึงส่องเห็นทางด้านท้ายรถกระบะชัดเจน จึงขอย้ำว่า รถคันก่อเหตุ ติดหลังคาแครี่บอยแน่นอน
นางทัศนีย์ กล่าวต่อไปว่า หลังจากเกิดเหตุประมาณ 1 สัปดาห์ ตนก็ได้รับหมายเรียกให้ไปขึ้นศาล ตนก็เล่าเหตุการณ์ตามที่เห็น แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ถามว่าคนขับรถชนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย กระทั่งไปขึ้นศาลแล้วศาลถามว่า คนขับเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จึงตอบว่าเป็นผู้ชาย ศาลจึงถามต่อว่าทำไมไม่ให้ปากคำต่อพนักงานชั้นสอบสวน ตนจึงตอบว่า เขาไม่ได้ถาม จึงไม่ได้พูดประเด็นนี้
นางทัศนีย์ กล่าวด้วยว่า ไม่เคยเห็นรถของนางจอมทรัพย์และไม่ได้เป็นญาติกันกับครูจอมทรัพย์เลย ระหว่างนั้นเองได้มีรายการทีวีช่องหนึ่ง โทรศัพท์มาขอสัมภาษณ์เสียงสดออกอากาศ นางทัศนีย์ ก็พูดและยืนยันคำเดิมว่า คนขับรถกระบะที่ชนนายเหลือนั้นเป็นผู้ชาย เมื่อพิธีกรรายการชื่อดังถามว่า นางทัศนีย์กลัวหรือไม่ที่ออกมาให้ข่าว นางทัศนีย์ได้ตอบไปว่า ตนกลัวถูกฆ่าเหมือนกัน และยืนยันว่าไม่มีใครเสนอเงินให้ตนในคดีดังกล่าว ที่ตนออกมาพูดเพราะเห็นใจครู และให้รายละเอียดตามข้อเท็จจริงที่ได้พบเห็นมาในคืนเกิดเหตุ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่มีการถกเถียงกันว่าคนขับรถกระบะคันที่ชนนายเหลือเสียชีวิตนั้น เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ได้ปรากฏอยู่ในสำนวนชั้นพนักงานสอบสวน แต่ไปปรากฏอยู่ที่ชั้นศาล โดยนางทัศนีย์ไปขึ้นศาลทั้งหมด 2 ครั้ง และยืนยันคำเดิมต่อหน้าศาลว่าคนขับเป็นผู้ชาย
