ดีเอสไอ อายัดรถหรู 122 คัน บ.นิช คาร์ ชี้ทำรัฐสูญรายได้ 2,400 ล้าน พบใบอินวอยซ์ปลอม สำแดงเท็จต่ำกว่าราคาจริง 40% เตรียมสอบย้อนหลังเพิ่มอีกกว่าหมื่นคัน
วันที่ 19 พฤษภาคม 2560 พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมคณะทำงาน ร่วมแถลงผลการเข้าตรวจค้นสถานที่เป้าหมาย กรณีการนำเข้ารถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากร และสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง โดยพบว่าบริษัทผู้นำเข้ารถยนต์ได้ระบุราคาสินค้าใบขนสินค้าขาเข้าที่ผู้นำเข้าต้องแสดงต่อกรมศุลกากรเพื่อเสียภาษีอากร ที่มีการสำแดงราคาต่ำกว่าราคาเป็นจริง ซึ่งราคาโดยเฉลี่ยที่ผู้นำเข้าสำแดง คือ ไม่เกินร้อยละ 40 ของราคารถยนต์ที่บริษัทผู้ผลิตในประเทศต้นกำเนิดรถยนต์จำหน่าย
- บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จำกัด ย่านพระราม 9 และอาคารไม่มีเลขที่อยู่ทางทิศตะวันออกของอาคารเลขที่ 2388 อายัดรถยนต์ได้ 81 คัน
- โชว์รูมรถยนต์ บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด สาขาสยามพารากอน อายัดรถยนต์ได้ 1 คัน
- เต็นท์รถยนต์ เลขที่ 999/9 ย่านคลองจั่น (สถานที่เก็บรถยนต์แลมโบกินี่) อายัดรถยนต์ได้ 6 คัน
- โชว์รูมรถยนต์ เอสทีที ออโต้ คาร์ ย่านห้วยขวาง (สถานที่เก็บรถยนต์แลมโบกินี่) อายัดรถยนต์ได้ 24 คัน
- โชว์รูมรถยนต์ เอสทีที ออโต้ คาร์ ย่านสุขุมวิท (สถานที่เก็บรถยนต์แลมโบกินี่) อายัดรถยนต์ได้ 10 คัน
ซึ่งรถยนต์ที่อายัดทั้งหมด ภาษีขาดโดยเฉลี่ยต่อคันประมาณ 10-18 ล้านบาทต่อคัน รวมแล้วรัฐเสียหายทั้งสิ้นประมาณ 2,400 ล้านบาท
ด้าน พ.ต.ท. กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ ได้อธิบายถึงขั้นตอนการกระทำความผิดว่า ขบวนการดังกล่าวจะมีการสำแดงภาษีต่อเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ของประเทศไทย ที่มีการเปลี่ยนสกุลเงินจากประเทศต้นทางอย่างประเทศอิตาลี สกุลเงินยูโร มาเป็นสกุลเงินยูเอส (us) และมีการลดราคาลงมาหลายเท่าตัว เพื่อให้ราคาที่คูณของภาษีต่ำลง ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ไทยเป็นคนรับเรื่อง โดยจะต้องตรวจสอบต่อไปว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ โดยเบื้องต้น ได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว และยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ นอกจากนี้จะต้องตรวจสอบรถย้อนหลังอีกกว่าหมื่นคันในห้วงปีที่ยังสามารถดำเนินคดีได้ด้วย ว่ามีการสำแดงเท็จตอนนำเข้ามาหรือไม่