รัฐบาลสหรัฐฯ อนุมัติแบบฟอร์มวีซ่าแบบใหม่ที่เข้มงวดกว่าเดิม ขอข้อมูลโซเชียลย้อนหลัง 5 ปี รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอีก 15 ปี รายงานเผย ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่ถ้าไม่ให้ข้อมูล ก็อาจจะถูกปฏิเสธวีซ่า
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนดแบบฟอร์มการขอวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาชุดใหม่ที่มีความเข้มงวดมากยิ่งกว่าเดิม โดยอนุมัติให้สถานทูตและสถานกงศุลสหรัฐฯ ทั่วโลกสามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้แก่ หมายเลขหนังสือเดินทาง ประวัติการใช้สื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ย้อนหลังไป 5 ปี และข้อมูลส่วนบุคคลต่าง ๆ อาทิ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมลแอดเดรส ประวัติการทำงาน ประวัติการเดินทาง ฯลฯ ย้อนหลังนานไปถึง 15 ปี
กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯกล่าวว่า ข้อกำหนดที่เข้มงวดเหล่านี้จะมีส่วนช่วยในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของชาติ โดยเจ้าหน้าที่จะขอตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวเป็นการเพิ่มเติม ในกรณีที่ข้อมูลเหล่านั้นมีส่วนช่วยในการยืนยันตัวตนของผู้ขอวีซ่า และมันจะสามารถช่วยคัดกรองบุคคที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายออกไปได้
ข้อกำหนดนี้ได้สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากหลายฝ่าย ตั้งแต่ภาคการศึกษา นักวิชาการและสาธารณชน โดยนักวิชาการกล่าวว่าแบบฟอร์มขอวีช่าชุดใหม่นี้จะสร้างปัญหาและทำให้กระบวนการทุกอย่างล่าช้าลงไปมาก อีกทั้งความยุ่งยากเหล่านี้จะส่งผลกระทบให้นักเรียนนักศึกษาและนักวิทยาศาตร์จากต่างชาติ เลือกที่จะไม่มาเรียนต่อหรือทำงานที่สหรัฐฯ
ด้านเหล่านักกฎหมายที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการตรวจคนเข้าเมืองชี้ว่า แบบฟอร์มที่เรียกร้องขอข้อมูลส่วนตัวย้อนหลังกลับไปถึง 15 ปี คือการจับผิดผู้ขอวีซ่าแบบเหวี่ยงแห มันจะหลายเป็นว่าบุคคลธรรมดาที่มีประวัติทำความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ร้ายแรง ไปจนถึงคนที่จำประวัติตัวเองไม่ได้กลายเป็นผู้ต้องสงสัย จะถูกเรียกตัวไปสอบถาม ซึ่งจากกรณีนี้ นายบาบัค ยูเซฟซาเดะห์ ทนายความชาวเมืองซานฟรานซิสโก และประธานสมาคมอิหร่าน-อเมริกัน ให้ความเห็นว่า ข้อกำหนดนี้คือการให้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแก่เหล่าเจ้าหน้าที่กงศุล ซึ่งพวกเขาจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติวีซ่า โดยที่ไม่ต้องตรวจสอบถึงเหตุผลจำเป็นของผู้ยื่นวีซ่าเลย
ทั้งนี้ข้อกำหนดดังกล่าวได้รับการอนุมัติอย่างฉุกเฉินโดยสำนักงานจัดการและงบประมาณสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 และถึงแม้ว่าการกรอกรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมจะไม่ใช่การบังคับ เป็นการให้ข้อมูลโดยสมัครใจ แต่ถ้าหากผู้ขอวีซ่าปฏิเสธไม่ให้ข้อมูลดังกล่าว ก็อาจจะทำให้กระบวนการขอวีซ่าล่าช้าลง หรือไม่ได้รับอนุมัติได้
