เป็นข่าวที่ครองพื้นที่หน้าสื่อเกือบทุกสำนักในขณะนี้ สำหรับคดีของ น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือ เปรี้ยว ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพ น.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย หรือ แอ๋ม สาวคาราโอเกะ อย่างไรก็ตามในขณะเดียวกันโลกออนไลน์ก็ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ภายหลังจากที่สังคมให้ความสนใจและพูดถึงผู้ต้องหาซึ่งเป็นสาวหน้าตาดีอย่างต่อเนื่อง จนต่อมาจึงมีผู้ออกมาโพสต์เตือนสติว่าอย่าทำให้คนร้ายกลายเป็นไอดอล พร้อมหวั่นใจว่าจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบในสังคม
ขณะที่ต่อมา (5 มิถุนายน 2560) เพจ แหม่มโพธิ์ดำ ก็ได้ออกมาเผยข้อมูลที่น่าสนใจ ชี้ว่าปรากฏการณ์ปลาบปลื้มฆาตกรนั้นไม่ใช่ของใหม่ พร้อมพาเราไปรู้จักกับ นายเท็ด บันดี้ (Ted Bundy) ฆาตกรต่อเนื่องที่ฉาวโฉ่ที่สุดของสหรัฐฯ ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ซึ่งเรื่องราวของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจของนิยายรวมถึงภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยเมื่อประกอบกับความหล่อเหล่านุ่มนวลของชายคนนี้ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในอาชญากรที่มีแฟนคลับมากที่สุดในประวัติศาสตร์อาชญากรรม
สำหรับ เท็ด บันดี้ เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2489 ในเมืองเบอร์ลิงตัน รัฐเวอร์มอนต์ สหรัฐฯ ชีวิตวัยเด็กของเขาเติบโตมาพร้อมกับพ่อ แม่ และพี่สาว ในครอบครัวที่เคร่งครัดศาสนา ก่อนความจริงจะปรากฏว่าผู้ที่เขาคิดว่าเป็นพ่อแม่มาตลอด กลับเป็นตาและยาย ส่วน เอเลนอร์ โคเวลล์ ผู้เป็นพี่สาวต่างหาก คือแม่แท้ ๆ ของเขา ซึ่งตัดสินใจปกปิดความจริงเอาไว้เพราะไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าตัวเธอท้องลูกไม่มีพ่อ
จากนั้นในปี 2494 เอเลนอร์ก็ได้แต่งงานกับ จอห์นนี่ บันดี้ ซึ่งนามสกุลบันดี้ของเท็ด ก็ได้มาจากพ่อเลี้ยงของเขานี่เอง เอเลนอร์และจอห์นนี่ใช้ชีวิตครอบครัวกันอย่างมีความสุข และมีลูกที่น่ารักด้วยกันอีกหลายคน เป็นครอบครัวชนชั้นแรงงานแสนอบอุ่น ที่เท็ดบอกเองว่าเขาได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่เคยถูกล่วงละเมิดในครอบครัว
อย่างไรก็ตามด้านมืดในใจของเท็ดเริ่มพอกพูนขึ้นตรงข้ามกับฉากนอกที่เป็นนักเรียนตัวอย่าง สุภาพและฉลาดเฉลียว เขาจบการศึกษาด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยในวอชิงตัน ที่ซึ่งได้พบรักกับเด็กสาวหน้าตาดี ฐานะร่ำรวยจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อนที่ความสัมพันธ์นั้นจะจบลง จากนั้นเขาได้เข้าเรียนต่อด้านกฎหมายในรัฐยูทาห์ ก่อนจะเดินหน้าเข้าสู่แวดวงการเมือง
ในช่วงเวลาระหว่างนั้นมีเด็กสาวหน้าตาดีจำนวนมากที่หายตัวไป โดยมีหลายคนเชื่อว่าเท็ดน่าจะก่อเหตุลักพาตัวและฆ่า แอนน์ มาเรีย เบอร์ วัย 8 ขวบ ขณะที่เขายังเป็นเพียงวัยรุ่น แต่เขาปฏิเสธข้อกล่าวหานั้น แล้วอ้างว่าการลงมือฆ่าครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นในปี 2517 ขณะที่มีอายุ 27 ปี โดยเหยื่อรายแรกก็คือ ลินดา แอนน์ ฮีลลี นักศึกษาหญิงที่ถูกลงมือทำร้ายร่างกายและฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม ก่อนที่ไม่กี่เดือนต่อมาเขาจะลงมือล่วงละเมิดทางเพศและทำร้ายเหยื่ออีกราย ซึ่งแม้เหยื่อรายนี้จะรอดไปได้ แต่ก็ต้องพิการตลอดชีวิต
จากฐานข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่า เท็ด บันดี้ มีความเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมโหด 36 ราย (แม้ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเหยื่อของเขาจริง ๆ น่าจะมีถึงร้อยราย) โดยพฤติกรรมการลงมือของเขา มักจะเข้าไปหาหญิงสาวตามสถานที่สาธารณะต่าง ๆ และใช้ท่าทีสุภาพอย่างผู้ดี ลักษณะที่มีเสน่ห์ของตัวเอง หลอกล่อเหยื่อให้ไปในที่เปลี่ยว ก่อนที่จะล่วงละเมิดทางเพศและฆ่า เขาจัดการตัดหัวเหยื่ออย่างน้อย 12 คนและเก็บศีรษะเอาไว้ในอพาร์ทเม้นต์ เปรียบเสมือนกับรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ เหยื่อส่วนมากถูกเขาซ้อมอย่างหนักจนตาย บางรายถูกทรมานจากสิ่งของรอบตัวในที่เกิดเหตุ
นับจากนั้นยังมีเหยื่ออีกหลายรายที่ถูก เท็ด บันดี้ ลักพาตัว ล่วงละเมิดทางเพศ และสังหารด้วยวิธีเหี้ยมโหด มีเหยื่อบางคนหลุดรอดมือเขาไปได้ ทำให้เขาถูกดำเนินคดีฐานลักพาตัวในปี 2518 แต่เขาก็รอดมาได้ ก่อนถูกจับอีกครั้งในข้อหาฆาตกรรมเมื่อตำรวจมีหลักฐานพอจะเชื่อมโยงเขากับเหยื่อคนก่อนหน้า ทว่าเขาสามารถแหกคุกแหกศาลออกมาได้ถึง 2 ครั้ง และก่อเหตุฆาตกรรมอีก 3 ศพ ซึ่งเนื่องจากนายเท็ด บันดี้ ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีฆาตกรรมหลายศพ เขาจึงถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า ในวันที่ 24 มกราคม 2532 ปิดฉากฆาตกรต่อเนื่องสุดฉาวโฉ่รายนี้
สำหรับภาพยนตร์และซีรีส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก เท็ด บันดี้ เช่น อาทิ Ted Bundy, ซีรีส์เรื่อง The Deliberate Stranger รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง Extremely Wicked, Shockingly Evil and Vile ที่กำลังจะสร้าง






