กำลังเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึง กับข่าวที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2560 ว่า เตรียมเรียกเก็บเงินจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) ประมาณ 100-200 บาทต่อเดือน เพื่อนำเงินมาช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าประชาชนที่ใช้ไฟฟ้าปกติ รวมถึงนำเงินมาช่วย กฟผ. ที่ต้องลงทุนระบบแบ็คอัพไว้เพื่อรองรับการกลับมาใช้ไฟฟ้าแบบปกติในตอนกลางคืน พร้อมยืนยันว่าได้ศึกษาตัวอย่างจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการเก็บเงินรายเดือนในส่วนนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี หลังข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ผู้คนในสังคมออนไลน์ก็แสดงความไม่เห็นด้วยจำนวนมาก โดยเฉพาะ เพจเฟซบุ๊ก ข่าวสารพลังงานแสงอาทิตย์ Solar PV Rooftop ที่มีผู้มากล่าวถึงประเด็นนี้มากมาย โดยเหตุผลที่คัดค้านเรื่องนี้บางส่วนเพราะบรรดาผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ต้องลงทุนออกค่าใช้จ่ายเอง ถือเป็นการช่วยชาติประหยัดไฟส่วนหนึ่ง และน่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐ แต่สุดท้ายกลับถูกเรียกเก็บเงินรายเดือนเพิ่มเติม จึงรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมกับเรื่องนี้
ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 23 มิถุนายน 2560 นายสหรัฐ บุญโพธิภักดี โฆษก กฟผ. ออกมาชี้แจงประเด็นดังกล่าว ระบุว่า ตอนนี้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำลังพิจารณาศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าสำรองที่เหมาะสมสำหรับผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ว่าขนาดกำลังผลิตติดตั้งเท่าใดจึงจะเข้าข่ายต้องถูกเรียกเก็บ ส่วนที่มีข่าวว่าจะเก็บในอัตรา 100-200 บาทต่อเดือนนั้น เป็นการเสนอที่คลาดเคลื่อน เพราะเป็นแค่การยกตัวอย่างที่ต่างประเทศเท่านั้น
นายสหรัฐ ยืนยันอีกว่า กฟผ. สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ นอกจากนี้ จะมีการเตรียมระบบไฟฟ้ารองรับในการที่ประชาชนจะผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ใช้เอง เช่น การมีแบตเตอรี่สำรอง โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ การสร้างระบบส่งไฟฟ้ารองรับในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนาระบบสมาร์ทกริด มาช่วยการบริหารจัดการระบบไฟฟ้า เพื่อให้ระบบไฟฟ้ายังมีความมั่นคง และมีค่าไฟฟ้าเหมาะสมเป็นธรรมกับผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ และประชาชนทั่วไป
