ภายหลังจากเกิดเรื่องคุณแม่ของทางคู่กรณีวัย 14 ปี ก็ได้เข้ามาขอโทษ ร้องไห้ แล้วก็ไหว้ขออย่าเอาผิดลูกตัวเอง พร้อมบอกว่า "แม่เลี้ยงลูกคนเดียว ให้อภัยลูกแม่เถอะ กลัวลูกจะเสียอนาคต" ตนก็บอกทางแม่เด็กว่า ตนก็เลี้ยงลูกคนเดียว ไม่ได้ใจร้ายแต่ยังให้อภัยใครไม่ได้จริง ๆ ถ้าวันหนึ่งผู้ที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้เป็นคุณแม่ แล้วจะเข้าใจว่าพร้อมจะให้อภัยหรือไม่ แล้วตนก็หันไปถามเด็กว่า "ทำไมวันแม่ไม่กลับไปไหว้แม่ ตอนตี 4 ทำไมไม่เข้าบ้าน" แต่เด็กกลับหันหน้าหนีและไม่ขอโทษ ตนไม่โอเคเลยที่แม่ต้องมาขอโทษแทนลูก รู้ว่าแม่ทุกคนรักลูก แต่ถ้าแม่จะทำเพื่อลูกทุกอย่างขนาดนี้ ลูกของคุณจะไม่รู้จักคำว่าผิดเลยหมือนกับพ่อแม่รังแกฉัน
คุณเบญจมาศ บอกอีกว่า ตนอยากให้คู่กรณีวัย 14 ปี ได้รับโทษจากความผิดของตัวเอง เพื่อให้สำนึก อยากให้รู้ว่าในโลกใบนี้ความผิดมีจริง การยอมรับความผิดมันมีจริง ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กจะทำอะไรก็ได้ เป็นเด็กขโมยของก็ได้เหรอ ขายยาได้เหรอ มันไม่โอเค โดยเฉพาะถ้าเด็กบางคนทราบว่าอายุ 14 ปี ไม่ต้องติดคุกแค่อบรมเท่านั้น ก็อาจมีความคิดที่อยากจะกระทำความผิด แต่ในความเป็นจริงถ้าเข้าไปเพื่ออบรมพ่อแม่เด็กก็ทำได้ และเด็กอายุ 14 สามารถมีกระบวนการคิดและตัดสินใจได้ดีแล้ว ไม่ควรโดนโทษแค่นี้
นอกจากนี้ ตนยังได้เข้าไปดูเฟซบุ๊กของเด็กคนดังกล่าวก็พบว่า เด็กคนนี้ชอบออกไปแข่งรถจักรยานยนต์ ซึ่งทางผู้ที่เป็นแม่ก็ต้องรู้พฤติกรรมลูก ว่าลูกมีนิสัยยังไง และอยากฝากถึงผู้ปกครองเด็กด้วยว่า อยากให้ดูแลลูกให้ดี เพราะวันหนึ่งอาจจะต้องมานั่งร้องไห้ต่อหน้าศพลูกตัวเองก็ได้ และภายหลังจากจบรายการ คุณเบญจมาศก็พูดออกมาว่า "เริ่มเบื่อกับคำว่าลูกฉันเป็นคนดี"
ขณะที่ ทนายเกิดผล แก้วเกิด บอกว่า ตามประมวลกฎหมายอาญาสำหรับเด็กและเยาวชน อายุ 10 ปี แต่ไม่เกิน 15 ปี การกระทำนั้นเป็นความผิดแต่กฎหมายบอกไว้ว่าไม่ต้องรับโทษ เพียงแต่ศาลอาจจะต้องกำหนดเงื่อนไข ว่ากล่าวตักเตือน แล้วปล่อยตัวไป แต่ว่าเด็กยังไงก็ไม่ต้องได้รับโทษอยู่ดี ไม่ต้องเข้าสถานพินิจ
ส่วนอายุ 15-18 ปี เป็นเยาวชนมีความผิดและต้องเข้ารับการอบรมภายในสถานพินิจ ในกรณีนี้เด็กมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ แต่เป็นการวางทัณฑ์บนกับศาลเยาวชน เพื่อให้เด็กต้องเข้ารับการอบรม เช่น การนำไปเข้าค่ายปฏิบัติธรรม และช่วยเหลือสังคมต่าง ๆ และเมื่อถามถึงความผิดที่พ่อแม่ของเด็กจะได้รับ หากตรวจสอบแล้วว่าพ่อแม่เป็นผู้ซื้อรถคันดังกล่าวให้เด็กนำไปขี่ พ่อแม่จะต้องรับโทษจำคุกหรือปรับตามที่ศาลจะพิจารณาเห็นแต่สมควร แต่อย่างไรก็ตามเด็กจะไม่มีความผิดหนักเท่ากับการที่ผู้ใหญ่ก่อคดี
ด้าน คุณสุรีย์ฉาย พลวัน นักวิชาการด้านกฎหมาย สมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เผยว่า ในความเป็นจริงแล้วเด็กมีกระบวนการคิดแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนควรปฏิบัติหรือไม่ควรปฏิบัติ ในทางกฎหมายของเด็กจะเน้นไปที่การฟื้นฟู เนื่องจากการกักขังเด็กไม่มีประโยชน์ คนบางกลุ่มหากได้รับการฟื้นฟูและอบรมก็จะกลับตัวเป็นคนดีได้ ซึ่งหากเด็กถูกจำคุกก็อาจจะถูกตีตราและตัดสิทธิ์เด็กในการดำเนินชีวิต แต่ก็ยอมรับว่ากระบวนการฟื้นฟูยังไม่ดีมากนักจึงต้องมีการพัฒนาต่อไป
ภาพและข้อมูลจาก