จากเหตุการณ์ช็อกโลกที่ สตีเฟน แพดด็อก ชายผิวขาวชาวอเมริกัน อายุ 64 ปี ก่อเหตุใช้ปืนกลกราดยิง ที่เทศกาลดนตรีคันทรี Route 91 Harvest Music Festival ที่ถนนลาสเวกัส สตริป ใกล้กับโรงแรมมัณฑะเลย์ เบย์ ในนครลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 59 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 500 ราย ซึ่งหลังก่อเหตุไม่นานเจ้าตัวได้ยิงตัวเองตาย ทำให้ยังไม่ทราบถึงแรงจูงใจว่า ที่เขาต้องนำปืนหลายกระบอกกราดยิงใส่ผู้บริสุทธิ์มาจากสาเหตุใด
รายงานระบุว่า อาวุธปืนบนห้องพักของเขานั้น ประกอบด้วย DDM4 ไรเฟิล จำนวน 4 กระบอก, FN-15s ไรเฟิล จำนวน 3 กระบอก ส่วนที่เหลือประกอบด้วย AK-47 และ AR-15 รวมถึง Sig Sauer และมีปืนพกอย่างน้อย 1 กระบอกอีกด้วย ซึ่งบางกระบอกมีการดัดแปลงเพิ่มความจุกระสุน ส่วนบางกระบอกมีการดัดแปลงให้ลดแรงถีบเพื่อให้ลั่นไกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีการพบกระสุนกว่า 1,000 ปลอกในห้องที่เขาก่อเหตุ ซึ่งมีทั้ง .223 หรือ 5.56 นาโต้ รวมถึง .308 ซึ่งมักใช้ในการล่าสัตว์
ขณะเดียวกัน สำนักข่าว บีบีซี เผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่า แพดด็อก ได้ทำการติดกล้องไว้ตรงห้องโถง 2 ตัว และตรงตาแมวอีก 1 ตัว ทำให้เขารับรู้ตลอดเวลาว่าจะมีผู้บุกเข้ามาจับกุมเขาเมื่อใด ทำให้เป็นที่แน่ชัดว่าเขาวางแผนก่อเหตุสะเทือนขวัญนี้ไว้อย่างรอบคอบ
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าปืนทั้งหมดที่ แพดด็อก ครอบครอง ล้วนแต่เป็นอาวุธที่ถูกกฎหมาย ซึ่งพบว่ามีปืนอย่างน้อย 6 กระบอก ถูกซื้อมาจากร้านเดียวกัน ขณะที่ แพดด็อก ยังซื้อปืนและกระสุนลดราคามาจากร้านซึ่งห่างจากแถบลาสเวกัส แค่ไม่กี่ช่วงตึก
ส่วนห้องพักที่เกิดเหตุนั้น พบว่าเขามีการขนกระเป๋านับ 10 ใบ ในการขนอาวุธเหล่านี้ขึ้นไป ซึ่งในขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังถูกสอบสวนต่อไป โดยเฉพาะการที่ แพดด็อก มีปืนอย่างน้อย 30 กระบอกไว้ในครอบครองแบบถูกกฎหมายในคราวเดียวกัน
อย่างไรก็ดี ทางสำนักงานสอบสวนกลาง หรือ เอฟบีไอ เผยว่า ยังไม่พบหลักฐานใดที่ แพดด็อก เชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศ แม้ก่อนหน้านี้ทางกองกำลังรัฐอิสลาม หรือไอเอส จะออกมาอ้างว่า ผู้ก่อเหตุเป็นสมาชิกรัฐอิสลามก็ตาม






