
นักเลขศาสตร์เจ้าของทฤษฎีวันสิ้นโลก 23 กันยายน เผยกำหนดใหม่ 15 ตุลาคม 2560 เป็นจุดเริ่มต้นวันสิ้นโลก จะเกิดเหตุมหันตภัยนานาประการขึ้นนานต่อเนื่อง 7 ปี โดยระหว่างนั้นจะมีดาวเคราะห์น้อยมาพุ่งชน ก่อนโลกจะถึงกาลอวสานในที่สุด
กลายเป็นประเด็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเดวิด มี้ด (David Meade) นักเลขศาสตร์ชาวอเมริกัน ออกมาเผยคำทำนายว่า 23 กันยายน 2560 จะเป็นวันสิ้นโลก อันเนื่องมาจากดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่ชื่อ ดาวเคราะห์เอ็กซ์ (Planet X) หรือที่รู้จักในชื่อ ดาวนิบิรุ (Nibiru) จะพุ่งชนโลก ซึ่งทางนาซาได้ออกมาโต้ว่า ดาวเคราะห์ดังกล่าวไม่มีจริง และเรื่องวันสิ้นโลกดังกล่าวก็ไม่เป็นความจริง กระทั่งเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2560 ก็ไม่มีเหตุวิบัติใด ๆ ดังคำทำนายดังกล่าวเกิดขึ้น

โดย เดวิด มี้ด ได้กล่าวว่า ดาวนิบิรุ ได้เคลื่อนผ่านโลกไปแล้ว แต่มันได้นำพามหันตภัยทางธรรมชาติจำนวนมหาศาลมาสู่โลก เหตุการณ์ภัยพิบัติรุนแรงก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหวที่เม็กซิโก น้ำท่วมหนักที่รัฐเทกซัส สหรัฐฯ หรือเฮอริเคนครั้งใหญ่ที่แถบแคริบเบียน และฟลอริดา ล้วนเกี่ยวข้องกับทฤษฎี ดาวเคราะห์เอ็กซ์ หรือดาวนิบิรุ ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ "มหันตภัย" ที่เดวิด มี้ด ได้กล่าวถึงว่าจะนำมาซึ่งวันสิ้นโลกนั้น ยังรวมไปถึงสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ-สหราชอาณาจักร กับฝ่ายปรปักษ์ อันได้แก่ รัสเซีย, จีน, อิหร่าน และเกาหลีเหนือ
"มันเป็นแค่การเริ่มต้น นับตั้งแต่วันสุริยุปราคาอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ (The Great American Solar Eclipse) เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมา เราจะถูกอำนาจแห่งหายนะเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง" เดวิด มี้ด กล่าว
นอกจากนี้ เดวิด มี้ด ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ดาวเคราะห์น้อยชื่อว่า วอร์มวูด (Wormwood) ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางอย่างน้อย 3 กิโลเมตร และติดอยู่กับกลุ่มขยะอวกาศในระบบดาวเคราะห์เอ็กซ์ จะพุ่งเข้าชนโลกในวันใดวันหนึ่ง ในช่วงระหว่าง 7 ปีที่มีมหันตภัยอุบัติขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี เรื่องทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับดาวเคราะห์เอ็กซ์หรือดาวนิบิรุดังกล่าว ทางองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา (NASA) ได้เคยออกมาเปิดเผยหลายครั้ง ระบุว่า ทฤษฎีนี้ถูกพูดถึงมาเป็นเวลานานหลายปีแล้วด้วยกัน และมีการดัดแปลงและเสริมแต่งมาเรื่อย ๆ ดาวเคราะห์ที่กล่าวอ้างนั้นไม่มีจริง ถ้าหากมีจริงทางนักดาราศาสตร์ก็คงจะตรวจพบมาตั้งแต่ 10 ปีก่อน และมนุษย์เองก็คงจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าไปแล้ว สรุปแน่ชัดก็คือ มันไม่จริงอย่างแน่นอน
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก express.co.uk, au.news.yahoo.com