เปิดโปรไฟล์ 4 ผู้นำประเทศหนุ่มหล่อไฟแรง ที่โลกจับจ้องมากที่สุดในขณะนี้

          รวม 4 ผู้นำหนุ่มหล่อไฟแรง เดินแถวเข้าบริหารประเทศในยุคใหม่ ทรงเสน่ห์ดึงดูดสายตา จนเป็นที่จับตามองไปทั่วโลกในขณะนี้

          ช่วงที่ผ่านมานี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากระแสนิยมผู้นำหนุ่มกลายเป็นที่ฮือฮามากขึ้น เมื่อบรรดาผู้นำประเทศในยุคใหม่นี้ มีหลายประเทศที่เป็นหนุ่มไฟแรง แถมยังหล่อเหลาทรงเสน่ห์ดึงดูดสายตา จนเป็นที่จับจ้องไปทั่วโลก 

          คนแรกเลยจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีของประเทศแคนาดา ผู้นำหนุ่มผู้ทรงเสน่ห์ วัย 45 ปี  ที่มีใบหน้าหล่อ บุคลิกรูปร่างโดดเด่น แถมยังมีสไตล์การแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ จึงกลายเป็นขวัญใจสาว ๆ ไปทั่วโลก จนถึงขนาดได้ฉายาว่า พระเอกแห่งโลกการเมือง นอกจากนี้ ผลโพลการจัดอันดับหลาย ๆ แห่ง ยังพร้อมใจกันยกให้เขาเป็นผู้นำหนุ่มที่ฮอตที่สุดในโลกขณะนี้

          สิ่งที่ทำให้เขาเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนมากมาย ไม่ใช่แค่เรื่องรูปร่างหน้าตาเท่านั้น ในส่วนของผลงานการทำงานของจัสติน ทรูโด ก็เป็นที่น่าจับตาไม่น้อย โดย ทรูโด เป็นนักการเมืองสายเสรีนิยม มีชัยได้รับคะแนนโหวตไปอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้ง ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของแคนาดา เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 ภายหลังจากนั้นเขาก็ตกเป็นที่จับจ้องทั่วโลก บทบาทด้านการเมืองที่โดดเด่นของทรูโดคือ เรื่องจุดยืนด้านนโยบายเสรีนิยม โดยก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทรูโดได้ออกมาตอบโต้นโยบายผู้ลี้ภัย ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หมาด ๆ โดยทรูโดประกาศจุดยืนที่สวนทางอย่างชัดเจนว่า เขาพร้อมอ้าแขนรับผู้ลี้ภัยทุกคนไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม สิ่งนี้นับเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ทรูโดกลายเป็นที่จับตามองในฐานะผู้นำรุ่นใหม่ในโลกปัจจุบัน โดยเว็บไซต์ฟอร์บส์จัดอันดับให้เขาเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอันดับที่ 69



          คนต่อมา เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผู้นำหนุ่มหล่อไฟแรงที่ทั่วโลกจับตามองไม่แพ้กัน เขาคนนั้นก็คือ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส หนุ่มนักการเมืองสมัยใหม่วัย 39 ปี ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 โดยสามารถคว้าชัยชนะเหนือคู่แข่งได้อย่างขาดลอย และทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์

          มาครง เป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดเสรีนิยมสายกลาง มีเป้าหมายปฏิรูปการเมืองของประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า และให้ความเคารพกับสิทธิมนุษยชนของประชาชนทุกคนในประเทศ ซึ่งเมื่อมาครงได้มีโอกาสขึ้นมาบริหารประเทศ ก็นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการเมืองฝรั่งเศส และด้วยแนวคิดสมัยใหม่นี้ ทั่วโลกก็ให้ความสนใจจับตามองไม่น้อยเลยทีเดียว 

          และด้วยความเป็นผู้นำหนุ่มรุ่นใหม่นั้น หลาย ๆ ครั้งเขามักจะถูกสื่อนำไปเปรียบเทียบกับจัสติน ทรูโด นายกฯ แห่งแคนาดา กระทั่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งคู่ได้มีโอกาสพบปะกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยต่างพูดคุยกันถูกคอและมีภาพการพบกันที่ชื่นมื่นดูสนิทสนมออกมา จนกลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลกออนไลน์


          คนที่ 3 เอ็นริเก เปญญา เนียโต เม็กซิโก ประธานาธิบดีคนที่ 62 แห่งประเทศเม็กซิโก เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนธันวาคม 2555 พร้อมประกาศจะนำประเทศก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ หลังต้องเผชิญความรุนแรงจากการทำสงครามยาเสพติดของรัฐบาลชุดก่อนมานานหลายปี พร้อมทั้งตั้งใจจะนำประเทศให้กลับไปเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งลาตินอเมริกาอีกครั้ง หลังจากนั้น ประธานาธิบดีแห่งเม็กซิโกรายนี้ก็ก็เริ่มกลายเป็นที่จับตามองเรื่อยมา ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องหน้าตาของเขาที่มีเสน่ห์เป็นที่ต้องตาของสาว ๆ หลายคน

          กระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งมีนโยบายจะสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก ผู้นำเม็กซิโกก็เริ่มมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น โดยเขาได้ออกมาประกาศจุดยืนที่สวนทางกับโปรเจคท์ดังกล่าวอย่างชัดเจนว่า จะไม่จ่ายเงินให้แม้แต่แดงเดียว


          คนสุดท้าย ได้แก่ ผู้นำหนุ่มหล่อไฟแรงคนล่าสุดที่ทั่วโลกจับจ้องอย่างมากในขณะนี้ นั่นก็คือ เซบาสเตียน เคิร์ซ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศออสเตรีย วัย 31 ปี จากพรรคของประชาชน ซึ่งแม้ขณะนี้ผลการนับคะแนนจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์อย่างเป็นทางการ แต่ผลก็ชี้ค่อนข้างชัดเจนว่า เขาจะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ อันจะส่งผลให้เขากลายเป็นผู้นำประเทศที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก และด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเขานั้น ทำให้เกิดกระแสฮือฮาอย่างมาก และกลายเป็นว่าที่ผู้นำที่ทั่วโลกจับตามองมากที่สุดในขณะนี้

          เซบาสเตียน เคิร์ซ เป็นคนรุ่นใหม่ที่มากความสามารถ หลายสื่อจึงนำไปเปรียบเทียบกับผู้นำในรุ่นเดียวกันอย่าง เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศส และนายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแห่งแคนาดา มองว่าอาจจะเจริญรอยตามการทำงานของทั้งคู่ อย่างไรก็ดี แนวคิดของเคิร์ซ ค่อนข้างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง โดยเขาประกาศนโยบายต่อต้านผู้อพยพ และจำกัดเงินช่วยเหลือที่รัฐบาลมอบแก่ผู้ลี้ภัย

ข้อมูลจาก hottestheadsofstate.com, ranker.com, worldstopmost.com, trendingtopmost.com, independent.co.uk, telegraph.co.uk, theguardian.com, bbc.com