
พระพยอม ขอความเป็นธรรม ซื้อที่ดินมาโดยสุจริตเมื่อปี 2547 ทำถูกต้องทุกอย่าง แต่เจ้าของเก่าอยากได้ที่ดินคืน หวั่นวัดสวนแก้วถูกยึด
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 เฟซบุ๊ก แหม่มโพธิ์ดำ ได้รับการร้องเรียนจาก พระพยอม กลฺยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ระบุว่า วัดได้ซื้อที่ดินเมื่อปี 2547 ได้มีการทำเอกสารทุกอย่างถูกต้อง ซึ่งที่ดินนี้เป็นของบุคคลหนึ่งที่อาศัยที่ดินของญาติและเอาที่ดินมาเป็นของตนเอง และนำมาขายให้วัด พระพยอมก็ได้ซื้อโฉนดที่ดินมา พอเจ้าของเดิมรู้ก็ฟ้องเรียกที่ดินคืน คนที่เป็นคนขายที่ดินก็ไปเซ็นยินยอม เมื่อที่ดินกลับไปเป็นของเจ้าของเดิม โฉนดวัดจึงเป็นโมฆะกลายเป็นถุงกล้วยแขก

สำหรับข้อความทั้งหมด มีดังนี้
วันนี้มีกรณีน่าอาภัพที่สังคมควรช่วยกันตรวจสอบคืนความเป็นธรรมแก่ชนผู้บริสุทธิ์เป็นสุจริตชน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560 วัดสวนแก้ว ได้รับคำสั่งไม่ชอบทางกฎหมาย เป็นกรณีให้สังคมศึกษาว่า ยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง มีการใช้หลักฐานอะไรก็ได้ ไม่ต้องตรวจสอบที่มาให้ชัดเจนนำมาเป็นหลักฐานพยาน ใช้เป็นบรรทัดฐานทางคดีฟ้องร้อง ทำให้ผู้บริสุทธิ์ สุจริตชนต้องเสียหายหมดกรรมสิทธิ์โดยไร้การเยียวยา ถึงแม้จะมีหลักฐานทางคดีใหม่ของวัดที่ยึดหลักกรรมสิทธิ์อันสุจริต
ในปี 2547 ที่วัดได้ซื้อที่ดิน แล้ววัดก็ถือครอบครองโดยชอบธรรมในส่วนของวัด เพราะได้ไปซื้อขายบนกรมที่ดินต่อเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ทำการโอนให้กรรมสิทธิ์เรามา โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริต จ่ายภาษีเข้ารัฐถูกต้อง เมื่อนำมาใช้ประโยชน์เผยแผ่-พัฒนา-สงเคราะห์ผู้ยากไร้ที่พึ่งในสังคมผู้เดือดร้อนไม่มีที่พักที่ทำกินให้มีสัมมาชีพ ได้ประมาณปีกว่า แล้วในภายหลังผู้ขายให้วัด ได้ไปยินยอมความกันให้อีกฝ่ายคู่กรณีในที่ดินแปลงใหญ่ ในปี 2549 ก็มีการอาศัยศาลเป็นเครื่องมือและช่องทางกฎหมายในการเรียกที่ดินคืนโดยการตัดฟ้องระงับข้อพิพาทรื้อคดีนำเอกสารพยาน ระยะเวลาอะไรที่พบข้อพิรุธที่ส่อไปในทางฉ้อฉลได้กรรมสิทธิ์ไป
ในปี 2559 วัดสวนแก้วก็ได้เก็บข้อมูลที่ชอบด้วยกฎหมายมาร้องครอบครองปรปักษ์เป็นคดีใหม่ โดยชั้นต้นสรุปวัดก็ถือครอบครองโดยไม่สุจริต ให้ความเป็นจริงที่แตกต่างจากกรณีศึกษาคำพิพากษาฎีกาที่ 10821/2556 เมื่อมีการเลิกบริษัทจำกัดและผู้ชำระบัญชีได้ยื่นขอจดทะเบียนต่อทางการภายใน 14 วัน นับแต่วันเลิกบริษัทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1254 แล้ว ย่อมทำให้สภาพความเป็นนิติบุคคลของบริษัทสิ้นสุดลง รวมทั้งกรรมการบริษัทย่อมไม่มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทได้อีกต่อไป เว้นแต่กรรมการบริษัทนั้นเป็นผู้ชำระบัญชีด้วย จึงจะมีอำนาจกระทำการแทนบริษัทต่อไปในฐานะผู้ชำระบัญชี ตามมาตรา 1252
โดยจำเลยที่ 1 หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าบริษัท ได้โอนสิทธิเรียกร้องให้แก่โจทก์ แล้ว โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับจำเลยที่ 3 ให้รับผิดต่อโจทก์ได้ จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้ชำระบัญชีของบริษัท มีหน้าที่ตามมาตรา 1250 คือชำระสะสางงานของบริษัทให้เสร็จไปกับจัดการใช้หนี้เงินและจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทเท่านั้น หาได้มีบทบัญญัติใดโดยตรงให้ผู้ชำระบัญชีต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในหนี้สินของบริษัท ที่ตนเป็นผู้ชำระบัญชีค้างชำระบุคคลภายนอกอยู่ไม่ ประกอบกับเมื่อบริษัท ส. ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะขณะที่ทำสัญญาบริษัทได้จดทะเบียนเลิกบริษัทไปก่อนแล้ว จึงไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลอีกต่อไป สัญญาจึงไม่มีผลผูกพันบริษัท ส. และโจทก์ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ในฐานะผู้ชำระบัญชีอีกด้วย
ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 จึงเป็นกรณีให้สังคมผู้คิดผู้สร้างความยุติธรรมศึกษามาเข้าใจกัน ขอเจริญพร
พระพยอม กลฺยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว นนทบุรี

