นายทหารหนุ่ม เปิดใจ หลังทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ช่วยจนพ้นผิด คดีถูกเสี่ยใหญ่อดีตนายจ้างยัดยาไอซ์ จนชีวิตพังทลาย ต้องรับโทษในเรือนจำกว่า 7 เดือน
จากกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้มีการเปิดเผยเรื่องราวผ่านเฟซบุ๊ก หลังว่าความจนชนะคดี สามารถช่วยเหลือ 2 นายทหารอากาศ พร้อมแฟนสาว รวม 4 คน ให้พ้นผิด จากการถูกเสี่ยใหญ่กลั่นแกล้งด้วยการยัดยา จนต้องเป็นแพะรับโทษในเรือนจำเป็นเวลา 7 เดือน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด (24 มกราคม 2561) รายการต่างคนต่างคิด ทางช่อง AMARIN TV รายงานบทสัมภาษณ์ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ พร้อมด้วย พ.จ.อ. อภิชาติ ขำศรี ทหารในสังกัดกองพันทหารสารวัตรทหารอากาศ กรมทหารสารวัตรทหารอากาศ สำนักงานผู้บังคับทหารอากาศดอนเมือง อดีตผู้ต้องขังคดีครอบครองยาเสพติด และนายประเสริฐ ขำศรี ผู้เป็นพ่อ ถึงเรื่องราวทั้งหมด โดย พ.จ.อ. อภิชาติ เผยว่า ตนถูกกลั่นแกล้งจากเสี่ยอดีตนายจ้าง จากการที่เคยทำงานกับเสี่ยเจ้าของธุรกิจรายหนึ่งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2559 โดยรับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดดูแลภรรยาน้อยของเสี่ย ก่อนจะมาทราบภายหลังว่าธุรกิจของเสี่ยเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย จึงถอนตัวออกมา แต่ไม่ได้แจ้งให้เสี่ยทราบ หลังจากนั้นเสี่ยก็พยายามออกตามหาตัวตน จนมาพบกับพ่อ และได้บอกกับพ่อตนว่าตนขโมยเงินเสี่ยมา 1,700,000 บาท กับปืนอีก 1 กระบอก พร้อมกับอ้างว่าได้แจ้งความเอาไว้แล้ว และข่มขู่ว่าจะทำทุกอย่างให้ตนหมดอนาคต
หลังจากนั้น คือวันที่ 17 มิถุนายน 2560 ขณะที่ตนและเพื่อน ๆ ขับรถเพื่อเดินทางไปทำบุญ แต่กลับมาถูกรถยนต์ของสามีภรรยาคู่หนึ่งชน โดยที่ทั้งสองขอจะเอารถตนที่เสียหายไปซ่อมให้ ซึ่งวันนั้น ตนก็ขับรถไปเพื่อจะเอาไปซ่อมที่อู่ตามคำขอ แต่กลับพบว่าอู่ปิดแล้ว จึงได้จอดทิ้งเอาไว้ และกลับมาดูอีกทีตอนเช้า ก็พบว่ารถถูกเปิดออก ตอนนั้นตนคิดเพียงว่าช่างคงเปิดเพื่อประเมินราคาค่าซ่อมรถ จนซ่อมเสร็จก็ขับรถออกไปทำบุญต่อตามที่ตั้งใจ แต่ก็มาถูกด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้น และพบยาไอซ์ 30 กรัม ตนตกใจมากตอนนั้น ซึ่งช่วงต่อสู้คดีตนได้ปฏิเสธในชั้นสอบสวน แต่มาเชื่อภายหลังจากคำพูดของทนายว่าให้รับสารภาพไป เพราะประเมินแล้วโอกาสรอดยาก หากยอมรับโทษอาจลดลง ตนจึงต้องรับโทษ
ต่อมา ขณะอยู่ในเรือนจำ ก็มีเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม เข้ามาให้ความรู้ในเรือนจำ ตนจึงติดต่อกับ ทนายษิทรา หรือ ทนายตั้ม เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่อยมา ก่อนจะได้รับอิสรภาพในที่สุด
พ.จ.อ. อภิชาติ ทิ้งท้ายว่า ก่อนที่ศาลจะอ่านคำตัดสิน ท่านผู้พิพากษาได้ชี้แนะให้ตนทำงานโดยสุจริต อย่าทำงานรับใช้คนไม่ดี เพราะจะนำภัยมาสู่ตัวเอง ตอนนั้นตนรู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่ท่านผู้พิพากษาแนะนำอย่างมาก ซึ่งเหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตที่ลืมไม่ลง ตนเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง คนทำผิดต้องได้รับผลกรรม
ขณะที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เผยว่า ตอนเริ่มทำคดี ไม่มีพยานหลักฐานอะไรเลย มีแต่คำบอกเล่า และจากคำบอกเล่านั้นก็พบพิรุธในวันไปทำบุญหลายอย่าง จากคู่กรณีที่ขอให้เอารถไปซ่อมที่อู่ที่คู่กรณีรู้จัก ตอนไปถึงอู่ก็ปิด รถถูกไขเปิดประตูในตอนเช้าทั้งที่ไม่ได้ทิ้งกุญแจไว้ให้ และนั่นจึงเป็นข้อสันนิษฐานว่าช่วงเวลาในการนำเอายามาซุกซ่อน ประกอบกับเมื่อมีการเบิกความในชั้นศาล พยานซึ่งเป็นลูกน้องเสี่ยได้ให้การมีพิรุธ อ้างว่า ไม่เคยสะกดรอย พ.จ.อ. อภิชาติ แต่พอเห็นหลักฐานจากภาพกล้องวงจรปิด จึงกลับคำและยอมรับว่ามีการสะกดรอยตามจริง และมีการแอบเอาจีพีเอสมาติดที่รถของ พ.จ.อ. อภิชาติ เพื่อรู้เวลาเดินทาง และที่สำคัญคือ สองสามีภรรยาที่ขับรถชนนั้น จากการสืบสวนพบว่าเป็นเพื่อนของลูกน้องเสี่ย รวมถึงถ้า พ.จ.อ. อภิชาติ เป็นผู้ค้ายาจริง เหตุใดถึงไม่ส่งยาให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วไปทำบุญ มันผิดวิสัยของคนร้าย เหตุผลทั้งหมดนี้จึงทำให้ศาลยกฟ้องดังกล่าว
ทั้งนี้ ในวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561 ทนายษิทรา กับ พ.จ.อ. อภิชาติ จะเดินทางเข้าพบ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งหากอัยการไม่อุทธรณ์คดีนี้ พ.จ.อ. อภิชาติ ในฐานะเหยื่อ หรือแพะในคดี จะได้รับเงินชดเชยจำนวน 63,000 บาท และอาจเข้าสู่แผนคุ้มครองพยานเรื่องความปลอดภัย
***หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 11.17 น. วันที่ 25 มกราคม 2561
ภาพและข้อมูลจาก
เฟซบุ๊ก ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ,
