กำลังเป็นคลื่นลูกใหม่ทางการเมืองที่หลายฝ่ายกำลังให้ความสนใจ สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ที่ประกาศว่าสนใจตั้งพรรคการเมือง พร้อมยกนโยบายเอาใจคนรุ่นใหม่ ประกาศทวงคืนอนาคต และยืนยันว่าสังคมไทยจำเป็นต้องหลุดพ้นจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมายาวนานนับสิบปีให้ได้
ประวัติส่วนตัว
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือ เอก เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 5 คน ของนายพัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ และนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยมีศักดิ์เป็นหลานชายของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย
ชีวิตในวัยเด็กของธนาธร ถูกพ่อแม่สอนให้รู้จักความลำบาก โดยส่งเข้าไปทดลองทำงานนับเหล็กในโรงงานครั้งแรกตั้งแต่ช่วงปิดเทอมขึ้น ป.3 โดยได้ค่าแรงวันละ 30 บาท ต่อมาอายุประมาณ 15-16 ปี ได้ไปที่อเมริกา โดยทำงานล้างจานเพื่อฝึกฝนประสบการณ์ชีวิต
การศึกษา
ธนาธร ศึกษาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ ตั้งแต่สมัยเรียน ธนาธรมีความสนใจในแวดวงการเมืองและสังคม โดยเขามักเข้าร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัย ก่อนจะได้รับเลือกเป็นอุปนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2542 และได้รับเลือกเป็นรองเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ในปี 2543
ในช่วงเวลาดังกล่าว ธนาธรเคยเข้าร่วมชุมนุมเพื่อทวงสิทธิเสียงให้ประชาชนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกับสมัชชาคนจน ที่เขาเคยเป็นแนวหน้าให้ชาวบ้าน ซึ่งต่อมาได้เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนตัวเองได้รับบาดเจ็บ ซึ่งระหว่างนั้น ธนาธรก็ได้รับความเป็นห่วงจากครอบครัวจากเรื่องที่ออกมาเคลื่อนไหวต่าง ๆ และเคยทะเลาะกับผู้เป็นอา ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในสมัยนั้น เนื่องจากมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย และหลังจากนั้น ธนาธรก็ได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ
เมื่อปี 2545 ธนาธรในวัย 23 ปี จำเป็นต้องกลับมารับช่วงบริหารบริษัทต่อจากบิดาในฐานะลูกชายคนโต ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยสนใจหรือยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวเลย ซึ่งนับจากนั้นเขาก็ทุ่มเทการทำงานให้บริษัท ไทยซัมมิท อย่างเต็มตัว จากที่บริษัทเคยมีรายได้ 16,000 ล้านบาท ในปี 2544 ก็ขยับขึ้นเป็น 80,000 ล้านบาท ในปี 2560
ชีวิตส่วนตัว
ธนาธร มีงานอดิเรกคือกิจกรรมผาดโผน ทั้งการปีนเขา การพายเรือคายัก หรือการวิ่งระยะไกล เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มคนไทยจำนวนสิบคนที่ไปปักธงชาติไทยที่ขั้วโลกใต้เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560
ความสนใจเข้าสู่แวดวงการเมือง
ที่ผ่านมา ธนาธร แสดงจุดยืนไว้ว่า เขาจะเข้ามาในแวดวงการเมืองถ้าจำเป็น หรือถ้ามีสถานการณ์ เพราะสุดท้ายทุกคนปฏิเสธการเมืองไม่ได้ หากบอกว่าจะสร้างประเทศสีเขียว สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี หากไม่มีการเมืองก็เป็นไปไม่ได้ และถ้าเขาจะทำกิจกรรมการเมือง มันก็มีจุดยืนมาจากจิตสำนึกและความเชื่อของตัวเองโดยบริสุทธิ์ ปราศจากอิทธิพลของญาติพี่น้องและนักการเมืองใด ๆ แต่จะทำไปด้วยความเชื่อและความศรัทธาที่ตัวเองมีอยู่
แม้ปัจจุบันจะยังเปิดเผยนโยบายใด ๆ ไม่ได้มาก เพราะยังติดคำสั่งของ คสช. แต่ก็เป็นที่ชัดเจนมากที่ ธนาธร สนใจที่จะเห็นพรรคการเมืองใหม่ เข้ามาเป็นกลุ่มทางเลือกสำหรับผู้ที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง เพราะปัจจุบันยังดูเหมือนว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องของ 2 พรรคใหญ่ ที่พอฝ่ายหนึ่งชนะการเลือกตั้งก็จะตามมาซึ่งปัญหาและความขัดแย้งวนอยู่เช่นนี้ ซึ่ง ธนาธร เชื่อว่า หากไทยปลดล็อกความขัดแย้งได้ ก็จะมีอนาคตรออยู่ และสิ่งที่จำเป็นคือการต้องมีพรรคการเมืองใหม่
เป็นนอมินีให้กับฝ่ายใดหรือไม่ ?
ธนาธร ระบุว่า ถ้าเกิดมีพรรคการเมือง มันจะไม่ใช่พรรคของตน หรือของนายปิยบุตร แสงกนกกุล (นักนิติศาสตร์จากกลุ่มนิติราษฎร์) ที่สำคัญจะไม่ใช่พรรคนอมินีของใคร แต่เป็นพรรคของประชาชนที่อยากเห็นอนาคตใหม่ เป็นนอมินีของประชาชนที่ถูกกดขี่และถูกลิดรอนเสรีภาพไป ถ้าจะเป็นนอมินีก็จะเป็นนอมินีของคนกลุ่มนี้
รองประธานบริหารไทยซัมมิท ยอมรับว่า เคยมีคนสบประมาทว่ากลุ่มของตนคงไม่ต่างอะไรกับคุณทักษิณ แต่ตนอยากให้เวลาพิสูจน์ เพราะไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าตนจะเป็นอย่างไร โดยไม่เปิดโอกาสให้ลงมือทำ ต่อให้ตนหรือคุณปิยบุตรทำพรรคได้จริง แต่คงต้องใช้เวลา เพราะคงทำอะไรไม่ได้ในเร็ววัน เนื่องจากกระบวนการนี้ต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับสังคม คนที่ผ่านการเมืองรอบ 10 ปี ได้เรียนรู้จากความขัดแย้ง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างประชาธิปไตยที่แข็งแกร่ง
นักการเมืองที่ดีเป็นอย่างไร ?
ธนาธร กล่าวว่า นักการเมืองที่ดี ต้องยืนหยัดในเรื่องประชาธิปไตย ต้องระลึกอยู่เสมอว่าอำนาจที่ตัวเองใช้อยู่เป็นอำนาจของประชาชน เพราะฉะนั้นต้องพร้อมที่จะถูกตรวจสอบจากประชาชน
"ผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าความเชื่อที่ว่านักการเมืองต้องมุ่งโกงกินเป็นเรื่องที่ผิด ผมจะทำให้เห็นว่านักการเมืองทำวาระของประชาชนอย่างจริงจังได้"
จุดแข็งสำหรับพรรคการเมือง
การมีจุดยืนทางการเมืองที่แน่วแน่ คือจุดสำคัญที่จะสามารถแก้ปัญหาได้ รวมถึงแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์หรืออัตตา เพราะการตัดสินใจต่อการแก้ปัญหาไม่ได้มาจากฐานอำนาจ ฐานเศรษฐกิจ ความต้องการ หรือฐานที่ต้องรักษาความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น แต่จะใช้การตัดสินใจบนจุดยืนบางอย่างที่เชื่อว่าจะแก้ไขโจทย์ หรือปัญหาที่ยากได้ ที่สำคัญต้องกำจัดการคอร์รัปชัน และช่วยให้ประชาชนได้รับความสะดวกจากเจ้าหน้าที่รัฐมากที่สุด
ธนาธร มองถึงความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้น คือ หลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล หากไม่มีพรรคการเมืองใดเสนอตัวเพื่อเป็นทางเลือก ถ้าไม่มีพรรคการเมืองใหม่มาเป็นทางเลือก เราจะพังทั้งประเทศ ถ้าไม่อยากให้สังคมไปถึงจุดนั้น ต้องมาร่วมมือกัน มาเปิดประตูบานใหม่ด้วยกัน ตนยังไม่รู้ว่าหลังประตูที่เปิดออกไปจะเป็นอย่างไร แต่เรามาเปิดด้วยกัน และเดินไปด้วยกัน
จะสลัดภาพ หลานสุริยะ อย่างไร ?
ธนาธร กล่าวว่า นายสุริยะ คือคุณอา ซึ่งในแง่ความสัมพันธ์นั้นปกติตนจะเจอกับคุณอา ปีละ 1-2 ครั้ง ส่วนขณะนี้หลังจากที่คุณอาป่วยเป็นมะเร็งและไปรักษาตัว ก็ทราบว่าไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองแล้ว ส่วนอนาคตนั้นตนไม่รู้ โดยการเตรียมจะเข้าสู่แวดวงการเมืองครั้งนี้ตนก็ไม่ได้ปรึกษากับคุณอาแต่อย่างใด
"ถ้าคุณใจแคบก็ดูที่นามสกุลผม แต่ถ้าคุณใจกว้างก็ขอให้ดูสิ่งที่ผมพูด และถ้าคุณใจกว้างขึ้นไปอีกก็ขอให้ดูจากสิ่งที่ผมทำ ผมไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้มากกว่านี้"
กังวลใจเรื่องใดที่สุดหากมาเล่นการเมือง ?
ธนาธร ตอบว่า กังวลเรื่องผลกระทบต่อครอบครัว รวมถึงคนที่ตนรัก ซึ่งที่ผ่านมาก็เจอมาแล้ว โดยตนนั้นเป็นคนตรงไปตรงมา บางครั้งการวิจารณ์การทำงานของ คสช. ทำให้กลายเป็นแรงกดดัน บางทีไม่ลงที่ตน แต่ไปลงที่ครอบครัว ซึ่งไม่ยุติธรรม ตนขอฝากว่าหากจะทำอะไรให้มากระทำโดยตรงกับตน อย่ากระทำกับคนที่อยู่รอบข้างตน ถ้าตนจะทำอะไรบางอย่างก็จะทำมันอย่างจริงจัง ตนไม่สามารถเอาใจทุกคนได้ ถ้าตนทำอะไรก็อาจมีคนสูญเสียประโยชน์ ทั้งทางอำนาจและทางเศรษฐกิจ ดังนั้นอย่าทำอะไรกับคนที่ตนรัก
ธนาธร กล่าวว่า ถ้าให้ตอบเร็ว ๆ ก็จะบอกว่าตัดงบประมาณกระทรวงกลาโหม 20-30 เปอร์เซ็นต์ แล้วนำเงินมาใช้ในเรื่องการศึกษา เริ่มตั้งแต่มาสร้างสนามเด็กเล่น มาจัดซื้อคอมพิวเตอร์ จัดให้มีอินเทอร์เน็ตฟรี จัดอาหารที่มีคุณภาพให้เด็ก ๆ ซึ่งปัญหาบางอย่างโดยเฉพาะอุปกรณ์การศึกษานั้นสามารถแก้ไขได้ทันทีด้วยเงิน
พูดถึงประโยคที่ว่า "เสียงคนต่างจังหวัดไม่มีคุณภาพ"
ธนาธร กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วย เพราะทุกคนมีหลักทางการเมืองของตัวเอง และทุกคนมีศักยภาพเป็นของตัวเอง เพราะเรื่องนี้ตนสัมผัสมากับตัวเองกับการเป็นผู้บริหารบริษัท ซึ่งบางครั้งพนักงานบางคนจบแค่ชั้นประถมศึกษา แต่ถ้าเราตั้งใจฟังจะเห็นว่าทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์ที่มหาศาล ซึ่งไม่ว่าจะคนต่างจังหวัด หรือคนจบแค่ประถม ก็สามารถทำในสิ่งที่ตนนั้นคิดไม่ถึง และหากเราเปิดโอกาสให้พวกเขานำความคิดสร้างสรรค์ออกมาใช้ ตนเชื่อว่าจะยังพัฒนาไปได้อีกไกล
ฝากถึงทั้ง 2 กลุ่มที่เคยออกมาชุมนุม
ธนาธร ฝากถึงกลุ่มประชาชนที่ร่วมสนับสนุนกลุ่มการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. โดยขอให้กลับมายึดมั่นการเมืองภายใต้ระบบรัฐสภา ตนเชื่อมั่นว่าการเมืองในระบบรัฐสภาที่เข้มแข็งนั้น จะแก้ปัญหาทุจริต แก้ปัญหาการลุแก่อำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ โดยตนเห็นการเกิดรัฐประหารมาแล้ว 4 ครั้ง มองว่าควรยุติการให้ทหารเข้าแทรกแซงการเมือง เพราะผลที่เกิดขึ้น ไม่ใช่การนำพาประเทศออกจากการล่มสลายของสังคม หรือสร้างอนาคตให้ประเทศได้
นอกจากนี้ ธนาธร ยังฝากถึงกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า ถ้าสิ่งที่พวกคุณรักและหวงแหนที่สุดคือ ทักษิณ ชินวัตร ตนคงช่วยอะไรเฉพาะส่วนไม่ได้ แต่ถ้าสิ่งที่คุณรักคือประชาธิปไตย-สิทธิมนุษยชน เรามาร่วมมือกัน เพื่อปลูกและปกป้องประชาธิปไตยให้ยั่งยืน และเป็นทางออกของความขัดแย้ง โดยตนอาจจะทำได้ในกรณีที่บางคดีซึ่งถูกจัดการผ่านเป้าหมายทางการเมือง ก็ต้องกลับมาพิจารณาใหม่ ผลจะออกมาเป็นเช่นไรก็สุดแล้วแต่ ซึ่งการทำให้เกิดความยุติธรรมนั้นคงไม่เฉพาะคุณทักษิณ แต่เป็นประชาชนที่ร่วมชุมนุมทั้งกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดงที่ถูกคดีเพราะแค่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง
สุดท้ายนี้ ธนาธร เผยว่า ตนอยากแสดงให้เห็นว่าสังคมมีปัญหาเยอะมาก จำเป็นต้องหลุดออกจากวังวนเดิม ๆ ซึ่งการหลุดนั้นต้องมีพรรคใหม่ ที่พูดถึงอนาคตแบบใหม่ เสนอเป็นตัวเลือกให้ประชาชน ทางปฏิบัติตอนนี้ยังไม่มีพรรคใดเกิดขึ้น และไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ดังนั้นตนพูดแทนพรรคที่เกิดขึ้นใหม่ไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะการเกิดเป็นพรรคได้ต้องมีคนที่เห็นด้วย และต้องมีสมาชิกพรรคพร้อมร่วมกำหนดนโยบาย แต่หากพูดภาษานักเลงไพ่ ตอนนี้ก็เทหมดหน้าตักแล้ว
ภาพและข้อมูลจาก
เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit, wikipedia, vikingsx.blogspot.com,