องค์การอนามัยโลก บรรจุ อาการติดเกม เป็นความผิดปกติทางจิตชนิดหนึ่ง เผยหัวใจสำคัญคือการป้องกัน แต่ถ้าคนใกล้ชิดเป็น ไม่ควรไปกดดัน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ดีที่สุด
![ติดเกม ติดเกม]()
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 เว็บไซต์ยูโรนิวส์ รายงานว่า ดร.เสกขา สาเสนา ผู้อำนวยการฝ่ายสุขภาพจิตขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO (World Health Organization) ได้ออกมาเปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลกได้บรรจุ อาการติดเกม (Gaming Disorder) ลงในบัญชีจำแนกโรคระหว่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยโรคนี้สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่มักจะพบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาว
ลักษณะของผู้ที่เข้าข่ายเป็นโรคติดเกม คือผู้ที่มีพฤติกรรม 3 อย่าง ดังต่อไปนี้
1. ไม่สามารถควบคุมตัวเอง ไม่ให้เล่นเกมได้
2. ทุ่มเทกับเกมมากกว่ากิจกรรมอย่างอื่น
3. เล่นเกมอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด แม้ว่ามันจะส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิต
โดยจากการเก็บข้อมูลขององค์การอนามัยโลก พบว่าผู้คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย หมดเวลาไปกับการเล่นเกมถึง 20 ชั่วโมงต่อวัน และพวกเขาเหล่านี้ให้ความสำคัญต่อการเล่นเกมมากกว่าการทำกิจกรรมอย่างอื่น แม้แต่สิ่งที่จำเป็น อย่างเช่น การออกกำลังกาย การนอนหลับ และการรับประทานอาหาร

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 เว็บไซต์ยูโรนิวส์ รายงานว่า ดร.เสกขา สาเสนา ผู้อำนวยการฝ่ายสุขภาพจิตขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO (World Health Organization) ได้ออกมาเปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลกได้บรรจุ อาการติดเกม (Gaming Disorder) ลงในบัญชีจำแนกโรคระหว่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยโรคนี้สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่มักจะพบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาว
ลักษณะของผู้ที่เข้าข่ายเป็นโรคติดเกม คือผู้ที่มีพฤติกรรม 3 อย่าง ดังต่อไปนี้
1. ไม่สามารถควบคุมตัวเอง ไม่ให้เล่นเกมได้
2. ทุ่มเทกับเกมมากกว่ากิจกรรมอย่างอื่น
3. เล่นเกมอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด แม้ว่ามันจะส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิต
โดยจากการเก็บข้อมูลขององค์การอนามัยโลก พบว่าผู้คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย หมดเวลาไปกับการเล่นเกมถึง 20 ชั่วโมงต่อวัน และพวกเขาเหล่านี้ให้ความสำคัญต่อการเล่นเกมมากกว่าการทำกิจกรรมอย่างอื่น แม้แต่สิ่งที่จำเป็น อย่างเช่น การออกกำลังกาย การนอนหลับ และการรับประทานอาหาร
ดร.เสกขา กล่าวอีกว่า ถึงแม้ว่าสัดส่วนของผู้ที่เป็นโรคติดเกม จะมีจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งโลก แต่มันก็เป็นปัญหาที่ควรให้ความสำคัญ ดีกว่าปล่อยให้สายเกินไป และสำหรับการบำบัดรักษาโรคนี้ ดร.เสกขา ให้ความเห็นว่า การตระหนักถึงโรคแต่เนิ่น ๆ นับเป็นก้าวที่ดี แต่สิ่งสำคัญก็คือการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น และเมื่อเกิดโรคแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครอง ครอบครัว รวมทั้งเพื่อนฝูง ไม่ควรไปบังคับขู่เข็ญหรือกดดัน และควรพบจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาแนวทางรักษา






