พบโครงกระดูกอายุ 3,000 ปี อยู่ในท่ากอดกันใต้หลุมศพของยูเครน นักโบราณคดีเชื่อฝ่ายหญิงเต็มใจถูกฝังทั้งเป็น เพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างคนที่รัก ความตายมิอาจพรากจากกัน
ภาพจาก Микола Бандривский
วันที่ 12 กรกฎาคม 2561 เว็บไซต์เดอะซัน รายงานว่า นักโบราณคดีได้ขุดพบโครงกระดูกชาย-หญิง อายุ 3,000 ปี ภายในหลุมศพใกล้หมู่บ้านเปตรีคีฟ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเทอร์โนพิล ทางภาคตะวันตกของประเทศยูเครน ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจศึกษาก็คือลักษณะของโครงกระดูกของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย ที่อยู่ในท่าสวมกอดกัน
ด้านศาสตราจารย์ มีย์โกลา แบนดริฟสกี ผู้อำนวยการศูนย์ Rescue Archaeological Service แห่งสถาบันโบราณคดีของยูเครน สาขาแคว้นทรานส์คาร์ปัตเตีย ซึ่งเข้ามาศึกษาเรื่องนี้ เผยว่า โครงกระดูกนี้มาจากยุคสัมริด การฝังศพดังกล่าวมีเอกลักษณ์ตรงที่ชายและหญิงจะนอนลงเคียงข้างกัน กอดกันและกัน หันหน้าไปจ้องมองกัน หน้าผากสัมผัสกัน จากโครงกระดูกที่พบในครั้งนี้เผยให้เห็นฝ่ายหญิงที่นอนลงอยู่ข้างฝ่ายชาย เธอใช้แขนขวาโอบกอดเขาไว้ วางมืออีกข้างบนไหล่ของเขา เข่าของเธอยังงอลง พาดบนขาที่เหยียดตรงของฝ่ายชาย
ภาพจาก Микола Бандривский
ลักษณะดังกล่าวได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญด้านการชันสูตร ว่าผู้หญิงที่เสียชีวิตไปแล้วจะไม่สามารถจัดท่าทางให้อยู่ในลักษณะนี้ได้ ดังนั้นนักโบราณคดีจึงเชื่อว่า หญิงคนนี้เป็นฝ่ายยินยอมนอนลงเคียงข้างสามีที่เพิ่งเสียชีวิต ขอถูกฝังร่างไปพร้อมกันกับเขา โดยเชื่อว่าจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งในโลกหน้า สะท้อนถึงความรักอันเป็นนิรันดร์
คาดว่า ฝ่ายหญิงน่าจะเลือกดื่มยาพิษก่อนลงไปนอนในหลุม แล้วโอบกอดร่างของสามีไว้ ซึ่งก็อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากใช้ชีวิตอยู่กับชายคนอื่น จึงเลือกที่จะตายไปพร้อมกับสามีที่รัก มันเป็นความพยายามและความปรารถนาของเธอในการได้อยู่กับคนที่เธอรัก
ทั้งนี้วัฒนธรรมการฝังศพของคนรัก มีการค้นพบมาหลายครั้งแล้ว แต่ส่วนมากในยุโรปมักเป็นลักษณะของการวางร่างผู้เสียชีวิตไว้เคียงข้างกัน แต่ในวัฒนธรรมของพื้นที่นี้ ท่าทางของพวกเขาสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนโยน และความเห็นอกเห็นใจอย่างมากต่อกัน
ภาพจาก Микола Бандривский
วันที่ 12 กรกฎาคม 2561 เว็บไซต์เดอะซัน รายงานว่า นักโบราณคดีได้ขุดพบโครงกระดูกชาย-หญิง อายุ 3,000 ปี ภายในหลุมศพใกล้หมู่บ้านเปตรีคีฟ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเทอร์โนพิล ทางภาคตะวันตกของประเทศยูเครน ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจศึกษาก็คือลักษณะของโครงกระดูกของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย ที่อยู่ในท่าสวมกอดกัน
ด้านศาสตราจารย์ มีย์โกลา แบนดริฟสกี ผู้อำนวยการศูนย์ Rescue Archaeological Service แห่งสถาบันโบราณคดีของยูเครน สาขาแคว้นทรานส์คาร์ปัตเตีย ซึ่งเข้ามาศึกษาเรื่องนี้ เผยว่า โครงกระดูกนี้มาจากยุคสัมริด การฝังศพดังกล่าวมีเอกลักษณ์ตรงที่ชายและหญิงจะนอนลงเคียงข้างกัน กอดกันและกัน หันหน้าไปจ้องมองกัน หน้าผากสัมผัสกัน จากโครงกระดูกที่พบในครั้งนี้เผยให้เห็นฝ่ายหญิงที่นอนลงอยู่ข้างฝ่ายชาย เธอใช้แขนขวาโอบกอดเขาไว้ วางมืออีกข้างบนไหล่ของเขา เข่าของเธอยังงอลง พาดบนขาที่เหยียดตรงของฝ่ายชาย
ภาพจาก Микола Бандривский
ลักษณะดังกล่าวได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญด้านการชันสูตร ว่าผู้หญิงที่เสียชีวิตไปแล้วจะไม่สามารถจัดท่าทางให้อยู่ในลักษณะนี้ได้ ดังนั้นนักโบราณคดีจึงเชื่อว่า หญิงคนนี้เป็นฝ่ายยินยอมนอนลงเคียงข้างสามีที่เพิ่งเสียชีวิต ขอถูกฝังร่างไปพร้อมกันกับเขา โดยเชื่อว่าจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งในโลกหน้า สะท้อนถึงความรักอันเป็นนิรันดร์
คาดว่า ฝ่ายหญิงน่าจะเลือกดื่มยาพิษก่อนลงไปนอนในหลุม แล้วโอบกอดร่างของสามีไว้ ซึ่งก็อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากใช้ชีวิตอยู่กับชายคนอื่น จึงเลือกที่จะตายไปพร้อมกับสามีที่รัก มันเป็นความพยายามและความปรารถนาของเธอในการได้อยู่กับคนที่เธอรัก
ทั้งนี้วัฒนธรรมการฝังศพของคนรัก มีการค้นพบมาหลายครั้งแล้ว แต่ส่วนมากในยุโรปมักเป็นลักษณะของการวางร่างผู้เสียชีวิตไว้เคียงข้างกัน แต่ในวัฒนธรรมของพื้นที่นี้ ท่าทางของพวกเขาสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนโยน และความเห็นอกเห็นใจอย่างมากต่อกัน