สะพรึง ชายถลกหนัง หั่นศพเมียแช่เย็น หลังจากที่เธอฆ่าตัวตาย ชี้ทำไปเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเธอตาย หวั่นลูกถูกพรากไป
ภาพจาก Johnson County Sheriff's Office
วันที่ 5 กันยายน 2561 เว็บไซต์มิเรอร์ รายงานว่า ศาลแขวงจอห์นสัน เคาน์ตี ในรัฐแคนซัส สหรัฐฯ
ได้ทำการไต่สวนคดีของ จัสติน เรย์ ชายอายุ 36 ปี
ที่ถูกตำรวจจับหลังพบว่าเขากับลูก ๆ ได้อาศัยอยู่ร่วมกับชิ้นส่วนศพของภรรยา
ที่ถูกหั่นเก็บไว้ในภาชนะหลายชิ้นด้วยกัน
ซึ่งในที่สุดจัสตินก็ยอมรับว่าเป็นผู้ถลกหนังภรรยา และหั่นร่างของเธอ
เพราะเกรงว่าจะมีคนมาพรากลูกสาวทั้ง 2 คนไป หากมีคนรู้ว่าเธอเสียชีวิตแล้ว
รายงานจากเว็บไซต์ kshb.com ระบุว่า จัสติน กับ เจสสิก้า มอนเตโร เป็นคู่สามีภรรยาที่เป็นคนไร้บ้าน พวกเขาหอบลูกสาวตัวน้อยไปอาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ ไม่เป็นหลักแหล่ง กระทั่งโบสถ์ในท้องถิ่นได้แจ้งความกับตำรวจ สั่งห้ามไม่ให้จัสตินเข้ามาในพื้นที่โบสถ์เพราะเป็นกังวลในเรื่องสภาพจิตและพฤติกรรมไม่ปกติของเขา ครอบครัวของจัสตินจึงเข้าไปอาศัยอยู่ในโรงแรมม่านรูด
ที่โรงแรมม่านรูดแห่งนั้น เจสสิก้าที่กำลังตั้งครรภ์ ก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวอีกหนึ่งคน แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เธอก็ได้เสียชีวิตลง โดยจัสตินอ้างกับตำรวจว่าเจสสิก้าเป็นฝ่ายฆ่าตัวตายเอง
กระทั่งวันที่ 24 ตุลาคม 2560 ทางตำรวจที่ได้รับแจ้งว่ามีใครบางคนอาศัยอยู่ในห้องเก็บของกับเด็ก 2 คน ก็ได้เข้ามาตรวจสอบจนพบตัวจัสตินกับลูก ๆ ของเขา ซึ่งสภาพของเด็กคนโตนั้นทำให้ตำรวจถึงกับตกใจ เพราะตาของเธอมีสภาพเหมือนติดเชื้อ ร่างกายดูแย่คล้ายกับคนเป็นโรคมะเร็ง นอกจากนี้ตำรวจยังพบชิ้นส่วนศพอยู่กับทั้ง 3 คนด้วย
ตอนแรกจัสตินอ้างกับตำรวจว่า พวกเขากำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปรัฐแอริโซนา เพื่อจะทำพิธีศพให้ภรรยาที่อาศัยอยู่ที่นั่น แต่แล้วก็ยอมรับในที่สุดว่าเธอได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว
"ผมรักครอบครัวของผมมาก มันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำเพื่อปกป้องครอบครัว" จัสติน กล่าวในศาล
ด้านเจ้าหน้าที่ชันสูตรเปิดเผยว่า พวกเขาพบบาดแผลถูกแทงจำนวนมากบนชิ้นส่วนศพ อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถระบุได้ว่าแผลดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากที่ผู้ตายเสียชีวิต
ทั้งนี้จัสตินได้ถูกตั้งข้อหาละทิ้งศพ ทำให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของเด็ก และมีกำหนดพิจารณาคดีของเขาอีกครั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน นี้ ส่วนลูกทั้ง 2 คนนั้นทางเจ้าหน้าที่ได้จับแยกออกจากจัสตินตั้งแต่ตอนที่เขาถูกจับ โดยขณะนี้ทางญาติของเจสสิก้ากำลังเดินเรื่องเพื่อขอรับตัวเด็ก ๆ มาอยู่ในความดูแล