แม่เลี้ยงอำมหิต สั่งลูกชาย-เพื่อนลูก รุมโทรมลูกเลี้ยง 9 ขวบ แล้วควักลูกตา-ฆ่าโหด

แม่เลี้ยงจากนรก สั่งลูกชายและเพื่อนลูก รุมข่มขืน เด็กหญิง วัย 9 ขวบ ลูกเลี้ยง และรุมสังหารจนตาย เหตุเพราะเกลียดชังภรรยาใหม่สามี ที่เป็นแม่เด็ก จึงเอาความแค้นทุกสิ่ง ระบายกับเด็กไร้เดียงสา

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2561 เว็บไซต์กัล์ฟนิวส์อินเดีย รายงานข่าวโหดร้ายที่สร้างความสะเทือนขวัญไปทั่วประเทศอินเดีย โดยแม่เลี้ยงจิตใจอำมหิตคนหนึ่ง ได้พาผู้ชายมารุมข่มขืนเด็กหญิงไร้เดียงสา วัย 9 ขวบ ลูกเลี้ยงของเธอ พร้อมกับช่วยกันทำร้าย ทรมาน และฆาตกรรมเด็กหญิงอย่างทารุณ ท่ามกลางความสะใจของตัวเอง โดยแรงจูงใจของการลงมือก่อเหตุเลวร้ายเช่นนี้ เป็นเพราะเธออิจฉาริษยาภรรยาคนที่ 2 ของสามี ซึ่งเป็นแม่ของเด็กหญิง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงเอาความโกรธแค้นและเกลียดชังทั้งหมด มาลงที่ลูกของศัตรูหัวใจ

จุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การเปิดเผยคดีสะเทือนขวัญนี้ เกิดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม นายมุสตาค อาหมัด กาไน ชายผู้อาศัยอยู่ในเขตอูรี เมืองบารามุลลา ในพื้นที่รัฐชัมมูและกัศมีร์ หรือ แคชเมียร์ ทางตอนเหนือสุดของประเทศอินเดีย ได้เดินทางไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากลูกสาวคนเล็ก วัย 9 ขวบ ของเขา ได้หายตัวไปจากบ้าน ถามคนที่บ้านก็ไม่มีใครเห็น ตามหาที่ไหนก็ไม่เจอ สร้างความกังวลให้แก่ครอบครัวเป็นอย่างมาก เจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องไว้และเริ่มต้นออกสืบหา แต่พวกเขาก็ไม่พบวี่แววของเด็กหญิงเลย ราวกับว่าอยู่ดี ๆ เธอก็หายตัวไปเสียเฉย ๆ

         ข่าวการหายตัวไปของเด็กหญิงได้กลายเป็นข่าวที่รับรู้กันทั้งชุมชน ชาวบ้านต่างก็รู้สึกเป็นกังวลที่เธอหายตัวไป และออกมาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตามหาเธอให้พบ เพราะไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเธอหายไปไหน เกรงว่าจะเกิดอันตรายกับเธอ จนกระทั่งในวันที่ 2 กันยายน ก็เจอตัวเด็กหญิงคนนี้ในที่สุด แต่เธอไม่มีลมหายใจอีกต่อไปแล้ว เจ้าหน้าที่พบศพเธอที่เน่าแล้วอยู่ในป่า ห่างจากบ้านของเธอไปประมาณ 1 กิโลเมตร

         รายงานจากเว็บไซต์อินเดียทูเดย์ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของพื้นที่ พร้อมด้วยทีมพิสูจน์หลักฐานและนิติวิทยาศาสตร์ ได้เดินทางไปตรวจสอบจุดที่พบศพเด็กหญิง สภาพที่เกิดเหตุและสภาพศพของเธอ บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอถูกฆาตกรรม พวกเขายังพบมีดและขวานตกอยู่ไม่ไกลจากศพ โดยจากการชันสูตรนั้น เจ้าหน้าที่พบร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ร่องรอยการถูกทำร้าย ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กหญิงถูกควักออกไปด้วยของมีคม ผิวหนังมีรอยถูกน้ำกรด และศีรษะก็เละเทะจากการถูกทุบด้วยโลหะมีคม

         ด้านเว็บไซต์เดอะซัน รายงานว่า สิ่งที่ค้นพบนำไปสู่การสอบปากคำสมาชิกทุกคนในครอบครัวของเด็กหญิง โดยนายมุสตาค พ่อของเด็กหญิง มีภรรยา 2 คน คนแรกชื่อ นางฟาห์มีดา เป็นคนในพื้นที่ เขามีลูกกับเธอ 1 คน เป็นลูกชาย อายุ 14 ปี ส่วนภรรยาคนที่สองอายุน้อยกว่า เป็นชาวรัฐฌารขัณฑ์ ชื่อ นางคุชบู เป็นแม่ของเด็กหญิง 9 ขวบ ผู้เสียชีวิต

         โดยมุสตาคเป็นคนทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ขณะที่ภรรยาทั้ง 2 คนของเขาทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป ฟาห์มีดาจะทำงานนอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคุชบูทำหน้าที่ดูแลการบ้านการเรือน รีดนมแพะ และทำอาหาร

         ฟาห์มีดาไม่เคยชอบภรรยาคนที่สองของสามี เธออิจฉาริษยาและเกลียดชังหล่อนอยู่ลึก ๆ มาโดยตลอด เพราะคิดว่าสามีมอบความรักและเอาใจใส่หล่อนมากกว่าตัวเอง เมื่อเวลาผ่านไป ความเกลียดชังที่สุมอยู่ในอกของฟาห์มีดาก็เพิ่มมากขึ้นทุกที จนกระทั่งกลายเป็นความเจ็บแค้นอาฆาต เธออยากให้ภรรยาเล็กคนนี้ทุกข์ทรมานเหมือนตายทั้งเป็น และคิดวางแผนฆ่าลูกสาว วัย 9 ขวบ ของคุชบู เนื่องจากฟาห์มีดาไม่เคยรักใคร่เอ็นดู และเกลียดชังเหมือนกับแม่ของเด็กคนนี้

         โดยในวันหนึ่ง ฟาห์มีดาล่อลวงเด็กหญิงเข้าไปในป่า และส่งสัญญาณเรียกลูกชายกับเพื่อนผู้ชายหลายคนให้ตามมาสมทบ ฟาห์มีดาสั่งลูกชายและเพื่อน ๆ รุมข่มขืนเด็กหญิง โดยที่ตัวเองยืนดู พอเห็นลูกเลี้ยงโดนกระทำชำเราจนสาแก่ใจแล้ว ฟาห์มีดาก็เข้าไปรัดคอเธอ และให้ลูกชายเอาขวานมาจามเข้าที่ศีรษะน้องจนเสียชีวิต และหลังจากการกระทำอันโหดเหี้ยมนี้จบลง ทุกคนก็แยกย้ายกันไป แถมยังมีการย้อนกลับไปหาศพ เพื่อเอาน้ำกรดราดอีกด้วย

         ทางด้าน ฟาห์มีดา ผู้บงการทุกอย่าง ได้เดินกลับเข้าบ้าน กินข้าวกินปลา พูดคุยกับคนอื่น ทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเมื่อเธอถูกนำตัวไปสอบสวน ฟาห์มีดาก็สารภาพทุกสิ่งทุกอย่างว่าเธอทำอะไรลงไปบ้าง และยอมรับตรง ๆ ว่าโกรธเกลียดคุชบูและลูกเลี้ยงอย่างที่สุด เนื่องจากสามีใช้เวลาอยู่กับหล่อนและลูกมากกว่าเธอ เธอจึงคิดฆ่าลูกเลี้ยงให้ตาย ๆ ไปซะ

ทั้งนี้ฟาห์มีดา และคนอื่น ๆ ที่ร่วมกันก่อเหตุ กำลังอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะมีการพิสูจน์หลักฐานต่าง ๆ และสอบสวนเพิ่มเติมอีกครั้ง เพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกเขาเหล่านี้จะได้รับการลงโทษสถานใด เนื่องจากยังอยู่ในช่วงพิจารณาคดี แต่เนื่องจากเป็นคดีที่ร้ายแรงมาก โทษของฟาห์มีดาจึงอาจจะร้ายแรงถึงชีวิต