ชาวบ้านแหลมสัก กว่า 200 คน เข้าร้องผู้ว่าฯ กระบี่ วอนช่วยเหลือ หลังถูกเจ้าท่าสั่งรื้อบ้านที่ปลูกรุกล้ำลำน้ำในคลอง ภายใน 90 วัน ทั้งที่อยู่กันมาหลายชั่วอายุคน
วันที่ 18 กันยายน 2561 เฟซบุ๊ก ปูดำนิวส์ สำนักข่าวท้องถิ่นในจังหวัดกระบี่ รายงานว่า ชาวบ้านจำนวนกว่า 200 คน จากตำบลแหลมสัก อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ นำโดยนายไซย์ตี้ย์ โรบินทร์ กำนันตำบลแหลมสัก และสมาชิกสภาเทศบาลตำบลแหลมสัก ได้เดินทางมายังศาลากลางจังหวัดกระบี่ เพื่อขอพบผู้ว่าราชการจังหวัด ขอให้ช่วยเหลือ กรณีที่สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขากระบี่ ได้มีหนังสือส่งไปถึงชาวบ้านประมาณ 30 คน ให้รื้อบ้านที่ปลูกรุกล้ำลำน้ำในคลอง ตามคำสั่ง คสช. และประกาศกระทรวงคมนาคม ภายหลังมีการเปิดอนุญาตให้ขออนุญาตปลูกสร้างสิ่งรุกล้ำลำน้ำ แล้วพบว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์ หรือไม่มีหลักฐานการปลูกสร้างก่อนวันที่ 24 สิงหาคม 2537
ทั้งนี้ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ติดภารกิจ จึงได้มอบหมายให้ทางศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดกระบี่ รับเรื่อง และให้ทางเจ้าท่ากระบี่ชี้แจง โดยเชิญตัวแทนชาวบ้านเข้าร่วมหารือถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
โดย นายไซย์ตี้ย์ โรบินทร์ กล่าวว่า ปัญหาของชาวบ้านคือ หลังจากมีการเปิดให้ขออนุญาตไปก่อนหน้านี้ ปรากฏว่าล่าสุดได้มีหนังสือจากสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขากระบี่ ให้รื้อถอนบ้านออกให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน ซึ่งหนังสือได้ทยอยส่งไปถึงชาวบ้านในพื้นที่รวมประมาณ 30 ครอบครัว และชาวบ้านคาดว่าจะมีหนังสือดังกล่าวทยอยส่งมาต่อเนื่องในตำบลรวมกว่า 300 หลัง จึงได้รวมตัวกันเดินทางมา เพราะชาวบ้านนั้นเป็นคนจน ไม่มีที่ดิน ปลูกสร้างบ้านในลำคลองมานานหลายชั่วอายุคน เป็นชุมชนด้านการท่องเที่ยวต้นแบบ จึงได้มาหารือในวันนี้ เพราะชาวบ้านจนปัญญาที่จะแก้ไขได้ เนื่องจากเจ้าท่าได้ให้อุทธรณ์คำสั่งภายใน 15 วัน ซึ่งชาวบ้านไม่รู้จะหาหลักฐานที่ไหน เนื่องจากทะเบียนบ้านนั้น เพิ่งได้มีการขอเมื่อไม่กี่ปี ในช่วงที่มีไฟฟ้าเข้าถึงเท่านั้น
ต่อมา นาวาตรี ชัยศิริ ขุนดำ ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขากระบี่ ได้เข้ามาประชุมร่วมและชี้แจงถึงขั้นตอนการปฏิบัติ ซึ่งชาวบ้านสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้ โดยให้ทางนายทะเบียนท้องถิ่น หรือสภาท้องถิ่นประชุมรับรองการก่อสร้างตามประกาศของกระทรวงคมนาคม ซึ่งสามารถทำได้ และพร้อมที่จะเสนอออกอนุญาตให้หากมีการรับรองตามกฎหมาย ซึ่งตนก็เข้าใจดีว่าชาวบ้านอยู่มานาน แต่ไม่มีหลักฐานเพราะเป็นคนจน ทางเจ้าหน้าที่พร้อมที่จะออกอนุญาต แต่ต้องอยู่ในข้อกฎหมาย
ทั้งนี้ หลังหารือกันนาน 1 ชั่วโมง และชาวบ้านเข้าใจถึงแนวทางแก้ไขปัญหา จึงได้ข้อสรุป โดยจะไปยื่นเรื่องให้สภาท้องถิ่นดำเนินการสอบประวัติบ้านแต่ละหลังเพื่อนำมายื่นอุทธรณ์ต่อไป จากนั้นจึงแยกย้ายกันเดินทางกลับ
