วงการแพทย์ทั่วสหรัฐอเมริกา พร้อมใจ ติด #StayInMyLane ประท้วงสมาคมปืน โพสต์ภาพ-บอกเล่าความจริงอีกด้าน ในการช่วยชีวิตเหยื่อที่ถูกยิงอยู่ทุกวัน หลังสมาคมปืนสั่งให้หมออยู่เฉย ๆ ไม่ต้องมายุ่งเรื่องปืน เพราะไม่รู้จริง
ต้นตอของปมขัดแย้งระหว่าง หมอ และ สมาคมปืน เริ่มจากบทความในวารสารทางการแพทย์ Annals of Internal Medicine ของวิทยาลัยแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา หรือ เอซีพี (ACP - American College of Physicians) ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้ บทความดังกล่าวเป็นการอัปเดตคำแนะนำสำหรับแพทย์ พยาบาล และหน่วยงานสาธารณสุข ในการป้องกันความรุนแรง การบาดเจ็บ และการเสียชีวิตจากอาวุธปืน ข้อมูลเหล่านี้เป็นผลมาจากประสบการณ์ของแพทย์ทั่วประเทศที่สั่งสมมากว่า 20 ปี โดยข้อเสนอแนะที่สร้างความไม่พอใจแก่สมาคมปืนคือ การชี้แนะผู้คน ถึงความเสี่ยงในการครอบครองอาวุธปืน
บทความของเอซีพี ระบุว่า บุคลากรทางการแพทย์ควรแนะนำผู้ป่วย-ประชาชน
เรื่องการเก็บอาวุธปืนเอาไว้ในบ้าน
โดยเฉพาะบ้านที่มีสมาชิกครอบครัวเป็นเด็ก เยาวชน ผู้ป่วย ภาวะสมองเสื่อม
(Dementia) ผู้ที่มีอาการทางจิต ผู้ที่มีอาการติดยาเสพติด
รวมไปถึงใครก็ตามที่มีความเสี่ยงทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายผู้อื่น
เพราะสามารถก่อให้เกิดอันตรายอย่างไม่คาดคิดได้
และแพทย์ควรให้คำปรึกษาถึงวิธีการที่ปลอดภัยแก่ประชาชน
ภาพจาก ทวิตเตอร์ @Rachel_McCarty
หลังจากที่บทความถูกเผยแพร่ไป ทางสมาคมปืนได้ออกบทความโจมตีวิทยาลัยแพทย์ฯ อย่างรุนแรง ชี้ว่าคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์นั้นขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อคำสั่งศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา และขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา บทรัฐบัญญัติสิทธิ คำแปรบัญญัติฉบับที่ 2 ว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐานในการครอบครองอาวุธปืนของประชาชนชาวอเมริกัน
สมาคมปืนชี้ว่า บุคลากรทางการแพทย์มีความเห็นแก่ตัวอย่างชัดเจน สนใจแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง มากกว่าเคารพสิทธิของประชาชนและกฎหมาย พร้อมวิจารณ์ว่าคำแนะนำในบทความขาดการค้นคว้าวิจัยและขาดหลักฐานมาสนับสนุน เต็มไปด้วยความผิดพลาดและอคติ และเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการต่อต้านอาวุธปืน
"ใครสักคนควรบอกพวกหมอที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ คิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด และต่อต้านปืน เหล่านั้นทีว่า ควรอยู่เฉย ๆ ในที่ทางของตัวเอง (stay in their lane) และไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้ กว่าครึ่งของบทความใน Annals of Internal Medicine แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าต้องการควบคุมอาวุธปืน มันเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก ดูเหมือนว่าวงการแพทย์ไม่ได้ไปปรึกษาแนะนำใครหรอก เพราะมัวแต่แนะนำกันเอง" สมาคมปืน กล่าววิจารณ์วงการแพทย์ ผ่านทางทวิตเตอร์ @NRA
แพทย์หลายคนกล่าวว่า บทความในวารสารเต็มไปด้วยข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพราะมันคือความจริง และเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ ว่าในแต่ละปี หมอต้องรักษาผู้บาดเจ็บจากกระสุนปืนเป็นจำนวนมาก บางคนรอดชีวิต บางคนไม่รอด หมอพบเห็นเรื่องนี้แทบทุกวัน เมื่อการยื้อคนไข้อย่างสุดความสามารถเป็นผล ผู้ที่รอดชีวิตไม่ได้มีแค่ผู้ป่วยเท่านั้น แต่หมอและพยาบาลก็รอดพ้นเรื่องนี้ไปพร้อมกับพวกเขา
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉิน และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ได้โพสต์ภาพบรรยากาศการทำงานจริง ภาพเตียงผ่าตัด พื้นห้องผ่าตัด เสื้อผ้า และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เปรอะเปื้อนเลือดของเหยื่อที่ถูกยิง มันเหมือนกับฉากในละครที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง บางภาพสยดสยองมาก บนพื้นเจิ่งนองไปด้วยเลือด พื้นรถฉุกเฉินก็เปรอะไปด้วยเลือดเช่นกัน เพราะทุก ๆ วินาทีที่ผู้ป่วยอยู่ในนั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตพวกเขา
เมื่อหน่วยฉุกเฉินนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล ให้หมอและพยาบาลรับช่วงต่อแล้ว ต้องใช้ทีมงานนับสิบคน
ในการยื้อชีวิตเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากกระสุนแค่นัดเดียว
ถ้าผู้ป่วยเสียชีวิต ฉากต่อไปคือ
การที่หมอต้องเดินไปบอกครอบครัวที่นั่งรออยู่นอกห้อง
ว่าคนที่พวกเขารักได้จากไปแล้ว
ภาพจาก ทวิตเตอร์ @2000_kyle
ขณะที่ ดร.จูดี เมลินิก แพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญพยาธิวิทยา หนึ่งในนักเขียนบทความทางการแพทย์ ก็ได้ออกมาให้ความเห็นบนทวิตเตอร์ @drjudymelinek ในเชิงตั้งคำถามกับสมาคมปืน ว่า ในแต่ละสัปดาห์ หมอต้องแงะกระสุนปืนออกมาจากศพเหยื่อที่ถูกยิงอยู่ตลอด ทางสมาคมปืนคงไม่รู้ว่ากระสุนปืนเหล่านี้มีจำนวนมากแค่ไหน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันไม่ได้เป็นแค่ที่ทาง (lane) หรือถนนเล็ก ๆ ของหมอ แต่มันเป็นถนนทางหลวงเส้นใหญ่เลยก็ว่าได้
ทางด้านคุณแม่รายหนึ่ง ก็ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุน ดร.จูดี ว่า เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ขอร่วมกับ #StayInMyLane เพราะในฐานะคนเป็นแม่ ทุกวันนี้เธอลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความกังวล กลัวว่าจะมีเหตุกราดยิง หรือมีการยิงกันเกิดขึ้น กลัวว่าลูกของตัวเองจะเป็นเหยื่อ และกลัวว่าลูกจะต้องเป็นเหยื่อรายต่อไปที่ต้องสังเวยชีวิตจากความรุนแรงนี้ ดังนั้นสมาคมต่างหากที่ควรออกไปอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องมาอยู่ร่วมในที่ทาง หรือเลน (lane) เดียวกับคนในสังคม
ภาพจาก ทวิตเตอร์ @Jongaddis
ภาพจาก ทวิตเตอร์ @scrubbedin
ภาพจาก ทวิตเตอร์ @ghd002
ภาพจาก ทวิตเตอร์ @traumadmo